นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) คาดในปี 52 กำไรขั้นต้นของบริษัท คงจะปรับลดลงมาที่ระดับ 28% จาก ระดับ 31% ในปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างโดยเฉพาะเหล็กที่บริษัทสต็อกไว้เมื่อปีก่อนเพื่อรองรับโครงการที่จะก่อสร้างและขายในปีนี้ ขณะที่ราคาขายก็ไม่สามารถปรับขึ้นได้
แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ายอดรับรู้รายได้ในปี 52 ยังทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 8 พันล้านบาท จากยอดขายปีนี้ที่ 1 หมื่นล้านบาท เพราะปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน(Backlog)ที่รอรับรับรู้รายได้ประมาณ 9 พันกว่าล้านบาท โดยปีนี้จะทยอยรับรู้รายได้ 6.64 พันล้านบาท และที่เหลือรับรู้รายได้ในปีหน้า
ในปีนี้บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 6-8 โครงการ รวมมุลค่า 1 - 1.2 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้บริษัทได้เตรียมงบซื้อที่ดินไว้แล้ว 2 - 2.5 พันล้านบาท ซึ่งมากกว่าปีก่อนที่ใช่งบ 1.4 พันล้านบาท ทั้งนี้ เปิดไปแล้ว 1 โครงการในไตรมาส 1/52 ที่ผ่านมาและที่เหลือจะเปิดในไตรมาส 2/52 และ ไตรมาส 3/52
นายโอภาส กล่าวว่า จากปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ บริษัทจึงได้ปรับกลยุทธ์ จัดแคมเปญและโปรโมชั่นมากขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี ดังนั้น คาดว่ารายได้ในไตรมาส 1/52 สูงกว่าไตรมาส 1/51 ที่ทำรายได้ 1.4 พันล้านบาท
"ในปีนี้การจะตัดสินใจพัฒนาโครงการ ต้องดูดีมานด์ให้ดี เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นความเสี่ยง การอัดแคมเปญและวางงบตลาดที่มากขึ้นถือว่าจำเป็นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งของเราก็ได้วางงบตลาดไว้สูงกว่าปีที่แล้ว"นายโอภาส กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังไม่มีความจำเป็นออกหุ้นกู้ เพราะปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินนสด ประมาณ 1.7 พันล้านบาท ถือว่าเพียงพอในการรองรับงานก่อสร้างและโครงการใหม่
ขณะเดียวกัน บริษัทจะพยายามรักษาอัตรายอดเงินกู้บ้านไม่ผ่านการอนุมัติจากธนาคาร(Reject)ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 10% จากโดยรวมที่มีอัตรา 20-30% เพราะในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เปลี่ยนนโยบายเพื่อลดการยอด Reject โดยการให้ลูกค้าสามารถกู้ได้หลายธนาคารจากทีมีให้ยื่นขอกู้ได้ธนาคารเดียว
กรรมการผู้จัดการ LPN คาดว่ายอดขอจดทะเบียนอาคารชุดในปี 52 จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.0-3.5 หมื่นยูนิต จากปีก่อนที่มี 2.6 หมื่นยูนิต ในส่วนของบริษัทมียอดจดทะเบียนปีนี้ 6 พันยูนิต