นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บมจ.ท่าอากาศยานไทย(AOT) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า จากที่บมจ.การบินไทย(THAI)จะย้ายเที่ยวบินภายในประเทศจากสนามบินดอนเมืองกลับมารวมไว้ที่สุวรรณภูมิในวันที่ 29 มี.ค.52 นี้ จะทำให้สนามบินสุวรรณภูมิมีจำนวนเที่ยวบินภายในประเทศเพิ่มขึ้นอีกวันละ 46 เที่ยวบินหรือมีผู้โดยสารเพิ่มอีกประมาณวันละ 8,000 คน และคาดว่าจำนวนผู้โดยสารในประเทศที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 3.1 หมื่นคน จากปัจจุบัน 2.3 หมื่นคน
ทอท.ได้ติดตั้งเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจค้นผู้โดยสารและสัมภาระเพิ่มขึ้นอีก 1 เครื่อง รวมเป็น 8 เครื่อง รวมทั้งนำรถเข็นสัมภาระมาให้บริการเพิ่มอีก 2,800 คัน รวมเป็น 5,355 คัน รวมทั้งก่อสร้างห้องน้ำเพิ่มเติมเพื่อรองรับผู้โดยสารในประเทศอีก 34 ห้อง รวมเป็น 164 ห้อง
ขณะที่ระบบสายพานลำเลียงจะรองรับสัมภาระผู้โดยสารขาออกได้สูงสุดชั่วโมงละ 21,600 ใบ และรองรับสัมภาระผู้โดยสารขาเข้าได้สูงสุดชั่วโมงละ 11,700 ใบ และได้มีการบริหารจัดการการใช้สะพานเทียบเครื่องบิน(งวงช้าง)โดยงวงช้าง 1 ตัว สามารถให้บริการผู้โดยสารได้พร้อมกัน 2 เที่ยวบิน
ปัจจุบันมีสายการบินภายในประเทศมาให้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำนวน 3 สายการบิน คือ สายการบินไทย บางกอกแอร์เวย์ และไทยแอร์เอเชีย ซึ่งให้บริการเฉลี่ยวันละ 160 เที่ยวบิน มีผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 23,464 คน และเมื่อการบินไทยย้ายมาในครั้งนี้ จะทำให้มีจำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 206 เที่ยวบิน ซึ่งจะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยวันละ 31,464 คน
ด้านพลอากาศเอกสมชาย เธียรอนันท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การย้ายเที่ยวบินในประเทศของการบินไทยกลับมาทำการบินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะช่วยลดจุดตัดวงจรการบินเหลือเพียง 3 จุด จากปัจจุบันที่มีจุดตัดประมาณ 20 จุด ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงของสายการบินได้
ทั้งนี้ เครื่องบินที่ออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จะลดเวลาการบินได้ 5 นาที ลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงได้เที่ยวบินละ 33,200 บาท หากออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปทางทิศใต้และทิศตะวันออกเฉียงใต้ จะลดเวลาการบินได้ 4 นาที และลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงได้เที่ยวบินละ 26,560 บาท
"คาดว่าปริมาณเที่ยวบินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 750 เที่ยวจากปัจจุบัน 700 เที่ยว และในชั่วโมงคับคั่งจำนวนเที่ยวบินจะเพิ่มขึ้นเป็น 52 เที่ยวบิน จากปัจจุบัน 48 เที่ยวบิน แต่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีขีดความสามารถรองรับเที่ยวบินได้ถึงชั่วโมงละ 76 เที่ยวบิน จึงไม่มีปัญหาต่อการให้บริการจราจรทางอากาศ"พลอากาศเอกสมชาย กล่าว
ทั้งนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีความพร้อมที่จะรองรับทั้งเที่ยวบินและผู้โดยสารในทุกด้าน ได้แก่ ความพร้อมด้านการรองรับผู้โดยสาร โดย ในด้านความปลอดภัย ได้มีการติดตั้งเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจค้นผู้โดยสารและสัมภาระ เพิ่มขึ้นอีก 1 เครื่อง รวมเป็น 8 เครื่อง และเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่บริเวณจุดตรวจค้น , การตรวจบัตรโดยสารภายในประเทศของสายการบินไทย ได้มีการเพิ่มเคาน์เตอร์ Check in ขึ้นมาอีกจำนวน 18 เคาน์เตอร์ รวมกับของเดิมที่ให้บริการ จำนวน 18 เคาน์เตอร์ เป็น 36 เคาน์เตอร์
นอกจากนี้ การนำรถเข็นกระเป๋ามาให้บริการเพิ่มเติมอีก 2,800 คัน ซึ่งเป็นรถเข็นขนาดกลาง 2,300 คัน และ ขนาดเล็ก 500 คัน รวมกับของเดิมที่มีให้บริการใน ทสภ. ทั้งหมด เป็น 5,355 คัน
รวมทั้ง มีการก่อสร้างห้องน้ำภายในอาคารผู้โดยสารภายในประเทศที่อาคาร A และ B อีก 34 ห้อง ทำให้มีห้องน้ำให้บริการผู้โดยสารทั้งสิ้น 164 ห้อง
พร้อมทั้งมีการจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารเป็นกรณีพิเศษ เพื่อคอยแนะนำและให้ข้อมูลในด้านต่างๆ วันละ 45 คน ตลอด 24 ชั่วโมง และ เปิดศูนย์ Call Center ให้บริการสอบถามข้อมูลต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-132-1888 และศูนย์รักษาความปลอดภัย หมายเลขโทรศัพท์ 02-132-4000
สำหรับความพร้อมด้านการรองรับเที่ยวบิน ที่อาคารเทียบเครื่องบิน A และ B ซึ่งให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศ สามารถจอดเครื่องบินประชิดอาคารได้ 12 หลุมจอด และยังมีหลุมจอดระยะไกลที่จะรองรับได้อีก 29 หลุมจอด , ระบบสายพานเพื่อรองรับกระเป๋าผู้โดยสารขาออกได้สูงสุด 21,600 ใบต่อชั่วโมง และผู้โดยสารขาเข้า จำนวน 5 สายพาน รองรับได้สูงสุด 11,700 ใบต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ ) ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารได้มากและรวดเร็วยิ่งขึ้น