IRPC สนใจทำ M&A เล็งธุรกิจในเอเชียเครือดาวฯ, คาด Q1/52 ฟื้น-ไม่ขาดทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 1, 2009 10:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าทำ M&A ในกิจการที่ประสบปัญหา ซึ่งขณะนี้มีหลายกิจการ โดยเฉพาะกิจการในแถบเอเชียของเครือดาวปิโตรเลียม ซึ่งบริษัทมีความพร้อม แต่การเข้าซิ้อก็ต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง และ IRPC ก็เพิ่งจะฟื้นตัวในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา

"การ M&A เราก็มองอยู่ มีกระแสว่าดาวปิโตรเลียม ซึ่งบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ในอเมริกามีแผนจะขายธุรกิจในเอเชียทิ้ง ซึ่งมีโอกาสเข้าซื้อและได้ราคาที่ดีก็จะส่งผลดีต่อบริษัท"นายไพรินทร์ กล่าว

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 1/52 คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวจากไตรมาส 4/51 และจะไม่ขาดทุน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์เริ่มมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น โดยราคาแบนซีนอยู่ที่ประมาณ 600 เหรียญ/ตัน เพิ่มขึ้นประมาณกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน และราคาโพรพิลีน เพิ่มขึ้นเป็น 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วน ABS อยู่ระดับประมาณ 1.3-1.4 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน

แต่ยอมรับว่ารายได้อาจจะไม่ดีนัก เนื่องจากมีการปิดโรงงานเพื่อปรับปรุงไปถึง 70% ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.52

ส่วนไตรมาส 2/52 มีแนวโน้มดี และเป็นไปได้ว่าราคาปิโตรเคมีจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอย่างแท้จริง โดยกำลังซื้อจากจีนเริ่มกลับมา และมองว่าภาคธุรกิจในเอเชียกำลังเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ต้องระมัดระวังว่าเป็นกำลังซื้อจริงหรือแค่ช่วงสั้น ๆ

นายไพรินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนใน 4-5 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการขยายกำลังการผลิต HDPE ขนาดกำลังการผลิต 4 หมื่นตัน/ปี และโครงการขยายกำลังการผลิต ABS กำลังการผลิต 2.1 หมื่นตัน/ปี ซึ่งอยู่ระหว่างทดสอบเดินเครื่อง

ขณะที่โครงการสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 220 เมกะวัตต์ ขณะนี้ได้ผ่านการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)แล้ว ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าบริษัทจะเริ่มสร้างภายในปีนี้ และอยู่ระหว่างพิจารณาหาผู้รับเหมา เดิมคาดว่าจะลงทุนประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ปัจจุบันค่าก่อสร้างน่าจะถูกลง

ส่วนอีก 2 โครงการ คือ โครงการขยายกำลังการผลิตโพรพีลีน 1 แสนตัน/ปี และขยายกำลังการผลิต SAN 8 หมื่นตัน/ปี ได้มีการชะลอออกไป เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังไม่ดี ดังนั้น บริษัทจะยังต้องศึกษาผลตอบแทนจากการลงทุนให้รอบคอบแล้วจึงจะตัดสินใจใหม่

นายไพรินทร์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)จำเป็นต้องขายหุ้น IRPC ออกมาว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้และเมื่อปิดสมุดทะเบียนประชุมผู้ถือหุ้น กบข.ก็ยังถือหุ้นในสัดส่วนเท่าเดิมที่ 8.42% มองว่าการที่ กบข.ขาดทุนเป็นเพียงการขาดทุนทางบัญชี และตราบใดที่ยังไม่ขายหุ้นก็ยังไม่ขาดทุน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ