คอนโดฯแนวรถไฟฟ้าชะลอ แบงก์เข้มงวดปล่อยกู้-ภาษีไม่ชัด-เอกชนขาดสภาพคล่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 2, 2009 17:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

วงการอสังหาริมทรัพย์ ระบุโครงการคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าชะลอขาย-ขึ้นโครงการ หลังแบงก์เข้มงวดปล่อยกู้ อีกทั้งลูกค้าคิดหนักมากขึ้นจากหลายปัจจัยลบ ทั้งราคาน้ำมันที่ถือเป็นปัจจัยหลัก และรอความชัดเจนการต่ออายุมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ด้านผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้ตรงความต้องการลูกค้าเพื่อให้ขายโครงการได้

นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวในการสัมมนา"วิเคราะห์พฤติกรรม:ใครซื้อคอนโดฯแนวรถไฟฟ้า"ว่า จากการสำรวจโครงการคอนโดฯตามแนวรถไฟฟ้า ณ ก.พ.52 พบว่า มีโครงการอาคารชุดที่ชะลอการขายทั้งสิ้น 11 โครงการ จากโครงการที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 170 โครงการ หรือ 5 หมื่นยูนิต โดยส่วนใหญ่อยู่ในทำเลสุขุมวิท 6 โครงการ ย่านสาทร พหลโยธิน สารสิน ราชดำริ

เนื่องจากผู้ประกอบการขาดสภาพคล่อง หรือ ต้องการทบทวนแผนลงทุนใหม่ และ ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อให้สามารถขายโครงการได้ดีขึ้น นอกจากนั้น การที่ธนาคารมีความเข้มงวดเรื่องสินเชื่อเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีปัญหาในการกู้ยืมเงินของลูกค้า เพราะปัจจุบันพบว่ามีผู้ที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อเกิน 30% ขณะที่สินเชื่อโครงการที่ได้รับการอนุมัติก็ให้เม็ดเงินน้อยลง จึงอาจเห็นการเปิดโครงการใหม่ล่าช้าออกไปเป็นไตรมาส 3-4/52 หลังจากที่ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ชะลอลง

นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะอยู่ที่ 0 ถึงติดลบ 10% ภายใต้เศรษฐกิจที่ชะลอ แต่ในส่วนเสถียรภาพของผู้ประกอบการยังไม่น่ากังวล เพราะปัจจุบันภาระหนี้สินต่อทุน(D/E) เฉลี่ยอยู่ที่ 2 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับ D/E ในช่วงวิกฤตอยู่ที่ 5-6 เท่า แม้ปัจจุบันจะมีผู้ประกอบการบางรายที่มีปัญหาสภาพคล่องและโดยตัดขายที่ดินในมือออกไป ก็มองว่าเป็นวิสัยที่ทำได้เพื่อรักษาสถานภาพของตัวเอง

"ปีนี้ถ้าทำเลไม่ดีคงจะเอาไม่อยู่ แต่หากเปิดไปแล้วขายได้ 30% ก็ถือว่าโชคดีแล้วภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้การซื้อคอนโดฯของผู้บริโภคก็คิดหนักมากขึ้น" นายอธิป กล่าว

แต่มองว่าอาจจะเห็นการการตัดสินใจซื้อบ้านล่าช้าออกไปและอาจจะเป็นสูญญากาศ หลังจากที่ต้องรอการขยายอายุมาตรการภาษีธุรกิจเฉพาะ ทำให้ลูกค้าต้องชำระเต็มจำนวนก่อนแล้วค่อนหักคืนภายหลังเมื่อมีการออกกฎหมายมารองรับแล้ว ตรงนี้อาจจะทำให้ผู้ที่จะตัดสินใจซื้อบ้านกังวล จุดภาครัฐควรจะรีบดำเนินการโดยเร็ว

สำหรับปัจจัยที่ผู้ประกอบการจะตัดสินใจพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ขึ้นอยู่กับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) กฎหมาย ราคาน้ำมัน โดยเฉพาะราคาน้ำมันถือเป็นปัจจัยหลัก เพราะหากสังเกตเมื่อราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้น ความต้องการคอนโดฯ ก็จะมีมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากสัดส่วนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ในส่วนของตลาดทุนตลาดเงินก็ถือว่ามีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะการขอสินเชื่อโครงการที่ทำได้ยากขึ้น แต่มองว่าโครงการคอนโดฯที่จะสร้างเสร็จจะได้เปรียบภายใต้เศรษฐกิจที่ชะลอตัว แม้ว่าปัจจุบันจะมีสัดส่วนคอนโดฯที่สร้างเสร็จไม่ถึง 10%

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ (LPN) กล่าวว่า ปัจจุบัน LPN มีโครงการที่อยู่แนวรถไฟฟ้าจำนวนน้อย เพราะจากการสำรวจของบริษัทพบว่าผู้ที่จะตัดสินใจซื้อคอนโดฯจะเลือกทำเลใกล้บ้านหลังเดิมมากกว่าการเลือกซื้อตามแนวรถไฟฟ้า

ปัจจุบัน LPN มีโครงการตามแนวรถไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นใหม่ 2 โครงการคือ ลุมพินีวิลล์ บางแค และลุมพินีเพลส รามอินทราหลักสี่ ซึ่งเปิดมาก็ได้รับการตอบรับที่ดี นอกจากนี้ยังพบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อคอนโดฯ ปรับเปลี่ยนไปโดยหันมาคำนึงถึงสถานะของผู้ประกอบการมากกว่าทำเล ขณะเดียวกันยังพบว่าความต้องการของผู้บริโภคคอนโดต้องการเพียงห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำมากขึ้น

นายโอภาส กล่าวว่าภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการจะต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดในการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในส่วน LPN ก็ได้มีการปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการขายโครงการที่มีขนาดเล็กลงจากโครงการ 1,000 ยูนิตมาเหลือ 500 ยูนิตเพื่อจะได้ขายได้ดีขึ้น

"ในช่วงปลายปีผู้บริโภคซื้อโครงการน้อยมาก แต่ก็เริ่มกลับมาปกติตั้งแต่ก.พ.ถึงปัจจุบัน แต่ก็ไม่น่าจะรีบผลีผลามว่าจะกลับมาจริงคงจะต้องค่อยๆติดตามและพัฒนาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าถึงจะอยู่ได้ภายใต้เศรษฐกิจแบบนี้"นายโอาส กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ