WIN ฟื้นเจรจาขายหุ้น PP เชื่อแผนเพิ่มทุนสำเร็จในปีนี้/คาดรายได้โต 50%

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 3, 2009 09:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนพพงษ์ อุรัจนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค(WIN)เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทเริ่มการเจรจากับนักลงทุนกลุ่มเดิมที่มีในประเทศและต่างประเทศที่สนใจเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน PP อีกครั้ง หลังจากที่การเจรจาหยุดชะงักไปตั้งแต่ปลายปีก่อน และคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้

แต่แม้ว่าการเพิ่มทุนยังไม่สำเร็จในขณะนี้ แต่ผลประกอบการในปีนี้น่าจะดีขึ้นจากปีก่อน หลังจากผู้ประกอบการในมาบตาพุดหลายรายขยายกำลังผลิตแล้วเสร็จในปีนี้ และการประกาศเขตควบคุมมลพิษในมาบตาพุด น่าจะทำให้รายได้ในการขนส่งทางรถไฟเพิ่ม ประกอบกับอัตราเช่าพื้นที่ฟรีโซนเพิ่มขึ้น และ มีรายได้จากธุรกิจบริการเข้ามาด้วย

"เราก็ยังคุยกับนักลงทุนต่อไปจากคราวที่แล้วคือในช่วงเมื่อตอนปลายปี 51 ที่นักลงทุนขอ pending ไว้ก่อน พอช่วงนี้เริ่มมีอะไรชัดเจนขึ้นก็เริ่มกลับมาคุยกันใหม่ แต่ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ...คาดว่าจะสรุปได้ภายในปีนี้แน่นอน เพราะเราไม่ได้เริ่มคุยใหม่ เป็นการคุยกันต่อ ผมอยากให้รู้เรื่องอยากให้จบเร็วๆ แต่ยังตอบไม่ได้ว่าจะจบภายในไตรมาส 2 หรือเมื่อไร"นายนพพงษ์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

ทั้งนี้ WIN มีแผนออกหุ้นเพิ่มทุน 122.58 ล้านหุ้นที่จะเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจง(PP)

นายนพพงษ์ กล่าวว่า ราคาหุ้น WIN ที่ปรับลดลงมามากเป็นปัจจัยหนึ่งที่บริษัทต้องพูดคุยกับทางนักลงทุน เพราะคนซื้ออยากได้ถูก คนขายอยากขายแพง ต้องดูให้สอดคล้องกับแผนการใช้เงินของบริษัทด้วย ซึ่งตามแผนที่ขออนุมัติผู้ถือหุ้นไว้จะต้องขายหุ้นในราคาไม่ต่ำกว่า 1.14 บาท แต่ขณะนี้ราคาหุ้นในกระดานอยู่ที่ 0.30 บาท ปรับลงมาห่างกันมากจึงต้องมาพิจารณาให้ดีก่อน

*คาดรายได้โต 50% จากค่าขนส่ง-ค่าบริการ-ค่าเช่าพื้นที่ฟรีโซน

นายนพพงษ์ กล่าวว่า แม้แผนเพิ่มทุน PP ยังไม่สำเร็จ แต่ผลประกอบการของบริษัทในปีนี้น่าจะดีขึ้น คาดว่ารายได้รวมทั้งจากธุรกิจขนส่งรถไฟ ค่าเช่าพื้นที่ และ ค่าบริการ จะเติบโต 50% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 130 ล้านบาท โดยหากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ บริษัทก็จะมีธุรกิจใหม่ที่เพิ่มเข้ามา คือ ธุรกิจบริการ ขณะที่ธุรกิจให้เช่าพื้นที่คลังสินค้าใน Free Zone ก็จะมีค่าเช่าเพิ่มขึ้นตามอัตราการเช่าพื้นที่ และวอลุ่มขนส่งรถไฟที่มาบตาพุดน่าจะดีขึ้น เพราะลูกค้าโรงงานที่ก่อสร้างเสร็จก็จะเริ่มผลิตได้เพิ่มขึ้น

อีกทั้งการที่ภาครัฐจะประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตคุมมลพิษ น่าจะทำให้บริษัทได้ประโยชน์อย่างมาก เพราะเชื่อว่าผู้ประกอบการจะหันมาใช้การขนส่งทางรถไฟเพิ่มขึ้นเพื่อลดภาวะโลกร้อนและลดมลภาวะ โดยลูกค้าที่สามารถลดมลพิษก็จะได้คาร์บอนเครดิตมากขึ้น แต่ผลตรงนี้คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง

"ลูกค้าเราพวกกลุ่มปตท.หรือพวกเคมีคอลต่างๆ ก็ต้องปฎับัติตามก็จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าหันมาใช้บริการรถไฟมากขึ้นกว่าเดิมจากที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน" นายนพพงษ์ กล่าว

บริษัทคาดว่าวอลุ่มตู้คอนเทนเนอร์ปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้น 20-30% หรือ 6-7 พันตู้ จากปีที่แล้วที่มีปริมาณ 3.2 หมื่นตู้ โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม และเชื่อว่าหลังจากนี้ไปสัดส่วนการขนส่งทางรถไฟน่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะส่วนขยายการผลิตของกลุ่ม ปตท.(PTT)และเครือปูนซิเมนต์ไทย(SCC)จะแล้วเสร็จ จากนั้นก็ต้องผลิตและต้องเร่งขายส่งออกตรงนี้ก็น่าจะเป็นผลดีต่อบริษัท

ดังนั้น รายได้ในส่วนของขนส่งรถไฟก็น่าจะมากกว่าปีที่แล้ว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันด้วย ถ้าราคาน้ำมันขึ้นค่าบริการก็ต้องปรับขึ้นตามไปด้วย ซึ่งหากปริมาณขนส่งเพิ่มขึ้นและได้ปรับขึ้นค่าบริการก็จะทำให้รายได้ในส่วนสูงขึ้นกว่าปีก่อน

ส่วนฟรีโซนน่าจะโตจากปีที่แล้ว เนื่องจากอัตราการเช่าพื้นที่(Occupancy Rate)อยู่ที่ 51% โดยในปีนี้วางแผนไว้ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 75-80% แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างถ้าสภาวะเศรษฐกิจไม่ฟื้นการเมืองยังเป็นอย่างนี้อยู่ก็ยังไม่แน่ใจ

นายนพพงษ์ กล่าวว่า ในปีนี้จะพลิกกลับมาเป็นกำไรได้หรือไม่ ส่วนหนึ่งก็ต้องเป็นไปตาม timing ของการเพิ่มทุน โดยหากเพิ่มทุนสำเร็จก็จะทำให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น สภาพคล่องดีขึ้น แต่หากภาวะเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวในไตรมาส 3/52 และการเมืองมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น บริษัทก็คงต้อง revise คาดการณ์ใหม่

อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 1/52 ผลประกอบการน่าจะดีกว่าไตรมาส 4/51 เพราะผู้ส่งออกที่มาบตาพุดเริ่มมีวอลุ่มการขนส่งสินค้ามากขึ้น ส่วนไตรมาส 2/52 ก็คาดว่าจะดีกว่าไตรมาส 1/52 แต่ เดือนเม.ย.มีวันหยุดมาก จึงยังต้องรอความชัดเจนก่อน แต่อย่างน้อยก็คาดว่าน่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/52

*เลื่อนล้างส่วนต่ำมูลค่าหุ้น 3 ปี-ศึกษาแก้ขาดทุนสะสมแบบบูรณาการ

นายนพพงษ์ กล่าวถึงการล้างขาดทุนสะสมและการแก้ไขส่วนต่ำมูลค่าหุ้นว่า ปีนี้คงทำได้ลำบาก ล่าสุดบริษัทก็ได้ขอขยายเวลาแก้ไขส่วนต่ำมูลค่าหุ้นออกไปอีก 3 ปีเสร็จสิ้นภายในเดือนมี.ค.55 หลังจาก ก.ล.ต.ให้ดำเนินการตั้งแต่ปี 48 เพราะมีการลดทุนเมื่อปี 47 แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ จึงต้องขอเลื่อนออกไปก่อน

ปัจจุบัน บริษัทมีขาดทุนสะสมประมาณ 200 กว่าล้านบาท จะต้องมีการแก้ไขแบบบูรณาการ ทางฝ่ายบริหารก็ยังต้องศึกษาแนวทางว่าจะแก้ไขทางด้านใด เพื่อให้มีประโยชน์ต่อบริษัท และกระทบต่อผู้ถือหุ้นได้น้อยที่สุด ปีนี้ยังไม่ทราบว่าจะล้างหมดหรือเปล่าต้องรอผลจากการศึกษาก่อน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ