นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.ไทยออยล์(TOP)กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้นจากปฃลายปีก่อน โดยในไตรมาส 1/52 ถือว่ามีกำไร แต่อาจจะต่ำกว่าไตรมาส 1/51
และคาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน(stock gain)ด้วย เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 ปีก่อนที่บริษัทขาดทุนสต็อกน้ำมันอย่างหนัก เนื่องจากราคาน้ำมันลดลงอย่างมาก ซึ่งในช่วงไตรมาส 4/51 ราคาน้ำมันอยู่ที่ 40 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งทำให้บริษัทมีผลประกอบการขาดทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 51
อย่างไรก็ตาม ปีนี้เชื่อว่าความผันผวนของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากซัพพลายในตลาดยังไม่แน่นอน แต่ก็ คาดว่าในปี 52 ค่าการกลั่นเฉลี่ยจะสูงกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 6.4 เหรียญ/บาร์เรล
นายวิโรจน์ กล่าวว่า บริษัทยังสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมีที่น่าสนใจ เนื่องจากปัจจุบันมีหลายแห่งทั้งในและต่างประเทศเข้ามายื่นข้อเสนอ โดยบางแห่งไม่มีความสามารถในการลงทุน และบางแห่งไม่สามารถบริหารจัดการได้ โดยบริษัทจะพิจารณาจากขนาดการลงทุนและขนาดธุรกิจ รวมถึงราคาที่เหมาะสม โดยคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุน(IRR) มากกว่า 15%
ในขณะนี้บริษัทมีสภาพคล่องเพียงพอ ทั้งวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน และมีวงเงินที่ได้รับอนุมัติให้ออกหุ้นกู้ โดยวันนี้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้อนุมัติวงเงินออกหุ้นกู้อีก 500 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 18,000 ล้านบาท
"ปีนี้ ถ้าดีล M&A ไม่ได้ข้อสรุป เราก็ยังไม่จำเป็นต้องออกหุ้นกู้ เพราะเพิ่งออกไปเมื่อต้นปี จำนวน 12,000 ล้านบาท และหากออกอีกครั้งก็คิดว่าจะเป็นช่วงปี 53" นายวิโรจน์ กล่าว
สำหรับงบลงทุนปีนี้ ตามแผนบริษัทจะใช้เงินน้อยมาก โดยงบลงทุนตามแผน 3 ปี(เริ่มปี 52)ใช้เงินลงทุนเพียง 150 ล้านเหรียญฯเนื่องจากโครงการต่าง ๆ บริษัทได้ลงทุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว และไม่มีแนวคิดที่จะลงทุนโรงกลั่นใหม่ เพราะต้นทุนแพงมาก โดยจะต้องใข้เงินลงทุนสูงถึง 1.5-2 หมื่นล้านเหรียญ