ดัชนี FTSE 100 ปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 เม.ย.) โดยดัชนีดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 4,000 จุดเนื่องจากความวิตกกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากมอร์แกน สแตนลีย์ ที่แนะนำให้นักลงทุนเทขายหุ้นในยุโรป
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ปิดลบ 36.13 จุด แตะที่ 3,993.54 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,959.60-4,097.17 จุด
มานุส แครนนี นักวิเคราะห์จาก MF Global U.K. Ltd กล่าวว่า นักลงทุนเทขายหุ้นหลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นในยุโรป ภายหลังจากจิม โอนีล หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจโลกของโกลด์แมน แซคส์ กล่าวว่า ยุโรปจะเป็นภูมิภาคที่ฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์การเงินโลกช้าที่สุด เนื่องจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายของยุโรปยังพยายามไม่มากพอในการใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรปยังตื่นตัวน้อยกว่าธนาคารกลางอื่นๆของโลก อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ที่ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยจนเกือบแตะระดับ 0% และยังใช้มาตรการเชิงรุกด้วยการเข้าซื้อหนี้เสียของสถาบันการเงินภายในประเทศ
การร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงมากที่สุด โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตันปิดร่วง 2.9% หุ้นยูเรเชียน เนเชอรัล รีซอร์สเซส ปิดลบ 3.5% หุ้นลอนมินปิดร่วง 5.8% หุ้นเวแดนตา รีซอร์สเซสปิดร่วง 7.5% หุ้นเอ็กซ์สตราตาปิดลบ 7.9% หุ้นแรนโกลด์ รีซอร์สเซสปิดร่วง 8.2% และหุ้นเฟรสนิลโลดิ่งลง 8.7%
หุ้นริโอ ตินโตดิ่งลงกว่า 11% หลังจากหนังสือพิมพ์ซันเดย์ ไทมส์รายงานว่า ริโอ ตินโตได้ร่างแผนฉุกเฉินเพื่อระดมทุน 8 พันล้านดอลลาร์ในการออกหุ้นเพิ่มทุน ขณะที่หุ้นกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบ โดยหุ้นบีพีปิดร่วง 0.9% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ปิดลบ 1.2% หุ้นเคร์น เอ็นเนอร์จีปิดร่วง 1.9% และทุลโลว์ ออยล์ปิดร่วง 2.2%