PTT มองโอกาสเหมาะส่ง PTTEPเน้นทำ M&Aพลังงานต้นน้ำเพิ่มสร้างสมดุลธุรกิจ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 10, 2009 15:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.(PTT) กล่าวถึงความสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการ(M&A)ว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำ M&A และเชื่อว่าตลาดเปิดตั้งแต่ปีนี้จนถึงต้นปี 53 ดังนั้น หากมีกิจการใดที่น่าสนใจก็จะรีบศึกษาเพื่อเข้าลงทุนโดยเร็ว โดย PTT สนใจที่จะเข้าไปลงทุนทั้งโครงการต้นน้ำและปลายน้ำ แต่ก็มองว่าการลงทุนในส่วนต้นน้ำจะช่วยสร้างสมดุลให้กับธุรกิจ

โดย PTT จะเป็นแกนเข้าไปซื้อกิจการโครงการปลายน้ำ(downstream) ส่วนโครงการต้นน้ำ(upstream)จะมอบหมายให้ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP)เป็นแกนหลักในการดำเนินการ เนื่องจาก PTTEP ก็มีเป้าหมายจะเพิ่มปริมาณผลผลิตให้เป็น 9 แสนบาร์เรล/วันในปี 63 จากปัจจุบันที่มีปริมาณผลิตประมาณ 2 แสนบาร์เรล/วัน

นายประเสริฐ กล่าวว่า การลงทุนในธุรกิจถ่านหินช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ของกลุ่ม PTT ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยง โดยมองว่าธุรกิจพลังงานควรจะมี upstream 70-80% ของการลงทุน ซึ่งปัจจุบันปตท.มี downstream มากกว่า upstream ค่อนข้างมาก ทำให้ไม่สมดุลและมีความเสี่ยงทางธุรกิจ

ทั้งนี้ การซื้อธุรกิจถ่านหินในออสเตรเลียถือเป็นการลงทุนที่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับขนาดธุรกิจของ PTT ทั้งหมด แต่หากการลงทุนครั้งนี้สร้างผลตอบแทนที่ดี ก็ถือเป็นการจุดประกายการลงทุนในอนาคต

ด้านนายพิชัย ชุนหวชิร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน PTT กล่าวว่า การทำ M&A ในช่วงนี้ถือว่าโอกาสเปิดกว้าง ซึ่งการที่ ปตท.เข้าไปซื้อธุรกิจถ่านหิน เพราะเชื่อว่ายังเป็นพลังงานที่ราคาถูกและมีแนวโน้มราคาที่ดี ซึ่งบมจ.บ้านปู(BANPU)เองก็ประสบความสำเร็จ เห็นได้จากราคาหุ้นที่ไม่ได้ปรับลงมามากเหมือน PTT ที่มีธุรกิจโรงกลั่นฉุดงบการเงินอยู่ และการลงทุนถ่านหินถือว่ามีการตอบแทนที่ดี เพราะเม็ดเงินลงทุนที่ใช้ไม่มากนักและรับรู้รายได้ในทันที

นายประเสริฐ ยอมรับว่า PTT ต้องการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน PTTEP แต่เนื่องจากปัจจุบัน PTT ถือหุ้นใน PTTEP อยู่ 65% แล้ว หากถือข้ามไปถึง 66.7% ก็จะเป็นการถือหุ้นถึง 2 ใน 3 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ก็จะทำให้ PTTEP กลายสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ

สำหรับแนวทางการควบรวมกิจการของบริษัทในเครือ มีความเป็นไปได้ว่าจะควบรวม บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC) บมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH) และ บมจ.ไทยออยล์(TOP) บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR) เข้าด้วยกัน โดยมองว่าการควบรวมกิจการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท แต่คงต้องรอผลศึกษาให้รอบคอบเพื่อไม่ให้ผู้ถือหุ้นทั้ง 4 บริษัทเสียประโยชน์

นอกจากนั้น ทั้ง 4 บริษัทก็เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จำเป็นต้องให้ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเข้ามาให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าวด้วย คาดว่าการรวบรวมขัอมูลทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ