ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (13 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนส่งแรงขายเข้าทำกำไร หลังจากที่หุ้นพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบสองเดือนเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว อย่างไรก็ดีตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากความหวังที่ว่าธนาคารและบริษัทการเงินหลักๆกำลังฟื้นตัวขึ้นในการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลดลง 25.57 จุด หรือ 0.32% แตะที่ 8,057.81 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 2.17 จุด หรือ 0.25% แตะที่ 858.73 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 0.77 จุด หรือ 0.05% แตะ 1,653.31 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.5 พันล้านหุ้น เทียบกับปริมาณการซื้อขายเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1.84 พันล้านหุ้น
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการซื้อขายเมื่อวันศุกร์เนื่องจากเป็นวัน Good Friday
นสพ. นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานเมื่อวานนี้ว่า กระทรวงการคลังสหรัฐกำลังสั่งการให้จีเอ็มเตรียมการให้พร้อมสำหรับการยื่นขอล้มละลายภายในกำหนดเส้นตายวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้เกิดคำสั่งขายหุ้นในวงกว้าง โดยหุ้นจีเอ็มร่วงลงประมาณ 16%
นักวิเคราะห์กล่าวว่า นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากแรงขายทำกำไรหลังจากที่หุ้นทะยานขึ้นแข็งแกร่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ส่งให้ดาวโจนส์ร่วงกว่า 100 จุดในช่วงเช้า ก่อนที่จะขยับขึ้นในช่วงบ่าย เมื่อหุ้นกลุ่มการเงินดึงดูดแรงซื้อของนลท.ซึ่งมีความหวังว่าบริษัทการเงินต่างๆ จะรายงานผลกำไรไตรมาสแรกที่แข็งแกร่ง โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 246.27 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นสูงสุดลำดับที่ห้าในปีนี้ หลังจากธนาคารเวลส์ ฟาร์โก เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการที่ดีเกินคาด เนื่องจากธุรกิจด้านการปล่อยกู้ที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งกล่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้น
นักลงทุนตั้งความหวังว่าธนาคารรายใหญ่จะรายงายผลประกอบการที่น่าพอใจในสัปดาห์นี้ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มการเงินเดินหน้าอย่างคึกคัก หุ้นโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ บวก 5.82 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 130.15 ดอลลาร์ หุ้นซิตี้กรุ๊ปกระโดดขึ้น 25% และแบงก์ ออฟ อเมริกา บวกขึ้นเกือบ 15.4%
ทั้งนี้ หลังจากที่ปิดตลาดเมื่อวานนี้ โกลด์แมน แซคส์ ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดีเหนือความคาดหมายของนักลงทุน โดยบริษัทเผยว่ามีกำไร 1.66 พันล้านดอลลาร์ในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ และเผยด้วยว่ามีแผนที่จะขายหุ้นเพิ่มทุน 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อนำไปชำระคืนให้แก่รัฐบาล
ด้านหุ้นกลุ่มอื่นนอกเหนือจากกลุ่มไฟแนนซ์ ปรากฏว่าปิดบวกลบคละกันไป หลังจากที่โบอิ้ง โค และ เชฟรอน คอร์ป เผยว่าผลการดำเนินงานของบริษัทได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดย เชฟรอน คอร์ป ได้ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรไตรมาสแรก ส่งผลให้หุ้นเชฟรอนลดลง 1.8% ปิดที่ 67.98 ดอลลาร์