นายวรภัทร โตธนะเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 3 แห่ง ประกอบด้วย เอสแอนด์พี ฟิทช์เรทติ้งส์ และมูดี้ส์ ปรับลดความน่าเชื่อถือในประเทศลดลง ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศที่ต้องใช้ระยะเวลาในการคลี่คลาย
อนึ่ง เอสแอนด์พี ได้ปรับลดความน่าเชื่อถือสกุลเงินบาทของไทยจาก A สู่ A- คงแนวโน้มไว้ในเชิงลบ และคงอันดับความน่าเชื่อถือสกุลเงินต่างประเทศที่ BBB+ และมีแนวโน้มในเชิงลบ, ส่วนฟิทช์เรทติ้งส์ ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศของไทยลงจากระดับ BBB+ สู่ BBB และลดอันดับความน่าเชื่อถือผู้ออกตราสารสกุลเงินในประเทศ (สกุลเงินบาท)จากระดับ A สู่ A-
ขณะที่ มูดี้ส์ ระบุว่าหลังเกิดเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์มีความเป็นไปได้สูงที่จะลดอันดับความน่าเชื่อถือสกุลเงินบาทและต่างประเทศลง จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ BBB+ มานานถึง 5 ปี
นายวรภัทร กล่าวว่า ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือปรับลดความน่าเชื่อถือลง เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในประเทศ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนลดลง และเชื่อว่านักลงทุนยังหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนกว่าจะเกิดเสถียรภาพทางการเมือง นอกจากนี้ยังส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจลดลง จากความไม่นิ่งทางการเมือง ทำให้ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาปัจจัยที่กระทบกับเรตติ้งส่วนใหญ่เป็นผลจากการเมืองในประเทศ
“ปัญหาการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ถือเป็นตัวชี้เครดิตประเทศไทยในช่วงนี้ และเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดให้เศรษฐกิจไทยมีปัญหาหนักขึ้น จากเดิมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่มีวี่แววว่าในระยะกลางไทยจะสามารถแก้ปัญหาให้การเมืองนิ่งได้หรือไม่ รวมทั้งแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้หรือไม่
จึงต้องการขอร้องทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่าทำร้ายประเทศชาติอีกเลย เพราะที่ผ่านมาก็สาหัสมากพออยู่แล้ว เนื่องจากสงกรานต์กลายเป็นสงครามบนท้องถนน ซึ่งหากต่างฝ่ายต่างเอาชนะเพื่อประโยชน์ส่วนตัวทุกอย่างก็จะแย่กันหมด"นายวรภัทร กล่าว
นายวรภัทร กล่าวต่อว่า ในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลืออาจมีบริษัทจดทะเบียนจำนวน 5-7 บริษัทที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นกลุ่มที่มีการระดมทุนจากตั๋วเงินระยะสั้น(บี/อี) และบริษัทที่ใกล้ครบกำหนดชำระเงินกู้ว่าจะสามารถระดมทุนมาชำระหนี้ได้หรือไม่ในช่วงสภาวะเช่นนี้ รวมทั้ง บริษัทที่ใกล้ครบกำหนดชำระเงินกู้และบริษัทที่มีกำไรปรับตัวลงมาก ซึ่งขณะนี้ถือว่าบริษัทจดทะเบียนมีความเสี่ยงมากขึ้นจากผลกระทบต่อเนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 ปีก่อนมาถึงปัจจุบัน
ขณะที่ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ทริสได้ปรับลดอันดับเครดิตบริษัทจดทะเบียน 4 แห่ง จากปกติที่จะปรับลดเฉลี่ย 1-3 แห่งเท่านั้น
ส่วนการระดมทุนในการออกหุ้นกู้เอกชนของบริษัทจดทะเบียน ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาออกแล้วมูลค่า 7.8 หมื่นล้านบาทและคาดไว้ก่อนช่วงสงกรานต์ว่าจะมีการระดมทุนประมาณ 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปกติที่มีมูลค่า 1.5-2 แสนล้านบาท แม้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวาย แต่เชื่อว่าหุ้นกู้ยังได้รับความสนใจจากผลตอบแทนที่สูงภายใต้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ