ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น โดยนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเพื่อผู้บริโภค กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มเทคโนโลยีอย่างคึกคัก
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 95.81 จุด หรือ 1.19% แตะที่ 8,125.43 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 13.24 จุด หรือ 1.55% แตะที่ 865.30 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 43.64 จุด หรือ 2.68% แตะ 1,670.44 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.61 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.37 พันล้านหุ้น
ฟิล โอแลนโด นักวิเคราะห์จาก Federated Investors ในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า รายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาดของเจพีมอร์แกน กูเกิล และโนเกีย ทำให้นักลงทุนมั่นใจว่าภาคธุรกิจในสหรัฐเริ่มมีเสถียรภาพแล้ว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่าผลประกอบการของซิตี้กรุ๊ปและเจนเนอรัล อิเล็กทริก จะออกมาย่ำแย่ เพราะทั้งสองบริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการณ์การเงินโลก
เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐในแง่สินทรัพย์ รายงานว่าบริษัทมีกำไร 2.14 พันล้านดอลลาร์ หรือ 40 เซนต์ต่อหุ้น ลดลง 10% จากระดับ 2.37 พันล้านดอลลาร์ หรือ 68 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่บลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็นว่า กำไรต่อหุ้นน่าจะอยู่ที่ 32 เซนต์
เจมี ไดมอน ซีอีโอเจพีมอร์แกนซึ่งนำเจพีมอร์แกนเข้าขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐเป็นจำนวนเงิน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ช่วยให้ธนาคารสามารถฝ่าฟันวิกฤตการเงินในช่วงไตรมาสสี่ปีที่แล้ว ด้วยการลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี ตัวเลขขาดทุน และการจัดหาสินเชื่อ รวมมูลค่า 3.33 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าดีกว่าคู่แข่งหลายราย อาทิ ซิตี้กรุ๊ปที่มีตัวเลขดังกล่าวสูงถึง 8.83 หมื่นล้านดอลลาร์ และดีกว่าตัวเลข 5.59 หมื่นล้านดอลลาร์ของเมอร์ริล ลินช์ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของแบงก์ ออฟ อเมริกา ธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐ
ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงขานรับโกลด์แมน แซคส์ รายงานผลกำไรไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.39 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ เนื่องจากกำไรจากการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ได้ช่วยชดเชยการขาดทุนจากการปล่อยกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยว่า ภาคการผลิตในเขตมิด-แอตแลนติกหดตัวลงในเดือนเม.ย. แต่เป็นสถิติที่หดตัวในอัตราที่ช้าลง โดยดัชนีกิจกรรมภาคการผลิตอยู่ที่ -24.4 จุดในเดือนเม.ย. กระเตื้องขึ้นจาก -35.0 จุด ในเดือนมี.ค. และดีกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าดัชนีจะอยู่ที่ -32.0 จุด
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงถูกปกคลุมด้วยความวิตกกังวลเรื่องภาวะซบเซาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ หลังจาก RealtyTrac Inc. ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยชื่อดังในด้านอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนบ้านที่ถูกยึดเนื่องจากถูกบังคับจำนอง (foreclosure) ในสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 803,489 หลังในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ พุ่งขึ้น 24% เนื่องจากภาคเอกชนลดการจ้างงานในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอยและโครงการก่อสร้างบ้านหลายแห่งถูกเลื่อนออกไปเพราะถูกกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ
หุ้นเจพีมอร์แกนพุ่งขึ้น 2.1% หลังบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด ขณะที่หุ้นซิตี้กรุ๊ปปิดบวก 1.01% ก่อนการเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสในวันศุกร์นี้ ส่วนหุ้นกูเกิลพุ่งขึ้น 5% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาสแรกที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่หุ้นฮิวเลตต์-แพคการ์ด หุ้นไอบีเอ็ม และหุ้นแอปเปิลดีดตัวขึ้นด้วย