ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 5.90 จุด ขานรับผลประกอบการ"ซิตี้กรุ๊ป"

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday April 18, 2009 06:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (17 เม.ย.) ขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดของซิตี้กรุ๊ป และเจนเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) โดยตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่โกลด์แมน แซคส์, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และธนาคารเวลส์ ฟาร์โก รายงานผลประกอบการดีเกินคาด นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในสหรัฐ

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 5.90 จุด หรือ 0.1% แตะที่ 8,131.33 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 4.30 จุด หรือ 0.5% แตะที่ 869.60 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 2.63 จุด หรือ 0.2% แตะที่ 1,673.07 จุด

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักหลังจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.ของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 61.9 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว จากเดือนมี.ค.ที่ 57.3 จุด

เจมส์ ซัลลิแวน นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ยูบีเอส แอลแอลซี กล่าวว่า ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการผลิตของสหรัฐซึ่งได้รับผลกระทบหนักสุดในช่วงที่ผ่านมานั้น อาจมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มองว่าภาวะหดตัวทางเศรษฐกิจจะบรรเทาลง นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัวขึ้นจะช่วยให้ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70%ของระบบเศรษฐกิจ ปรับตัวขึ้นด้วย

ขณะที่เคนท์ เอนเก้ หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Capitol Securities Management กล่าวว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับซิตี้กรุ๊ป รายงานผลกำไรสุทธิ 1.6 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกของปี 2552 ซึ่งเป็นผลจากกฎการทำบัญชีแบบใหม่ที่ช่วยให้ธนาคารมีกำไรเป็นครั้งแรกหลังจากที่ขาดทุนติดต่อกัน 5 ไตรมาส จนต้องขอเงินช่วยเหลือจำนวน 4.5 พันล้านดอลลาร์จากรัฐบาลเมื่อปีที่แล้ว

ซิตี้กรุ๊ปเป็นสถาบันการเงินรายที่ 4 ที่สร้างปรากฏการณ์ทำกำไรสวนทางกับการคาดการณ์ของไมค์ มาโย นักวิเคราะห์ชื่อดังด้านการธนาคารจากบริษัทหลักทรัพย์คาลิยงในนิวยอร์กที่ระบุว่า ธนาคารในสหรัฐจะถูกกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยคาดว่าภาคธนาคารจะขาดทุนเป็นวงเงินราว 6 แสนล้านดอลลาร์ ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลจากปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกับสัญญาจำนอง และส่งผลกระทบไปยังภาคส่วนอื่นๆในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ

ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับธนาคาร เวลส์ ฟารโกที่มีกำไรสุทธิไตรมาสแรกของปีนี้พุ่งขึ้น 50% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราว 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้านี้ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 2 เท่า

ตามด้วยโกลด์แมน แซคส์ ที่รายงานผลกำไรไตรมาส 1 ปี 2552 ที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.39 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐในแง่สินทรัพย์ รายงานว่าธนาคารมีกำไร 2.14 พันล้านดอลลาร์ หรือ 40 เซนต์ต่อหุ้น ลดลง 10% จากระดับ 2.37 พันล้านดอลลาร์ หรือ 68 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่ากำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่ 32 เซนต์

ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 หุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้น 83% โดยหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ปิดบวก 4.2% หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ปิดบวก 2.5% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ปิดบวก 4.3% แต่หุ้นซิตี้กรุ๊ปปิดลบ 9%

หุ้นกูเกิลปิดบวก 0.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลกำไรไตรมาสแรกที่เพิ่มขึ้น 8.9% หลังจากที่บริษัทได้ปรับลดพนักงานและยุบการดำเนินธุรกิจบางแผนก ขณะที่ยอดขายยังชะลอตัวเนื่องจากอุปสงค์โฆษณาออนไลน์ตกต่ำลง ส่วนหุ้นอินเทล คอร์ป ปิดลบ 1.8% และหุ้นไมโครซอฟท์ปิดลบ 2.8%



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ