นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) เปิดเผยว่า บริษัทหวังว่ารายได้ปี 52 จะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 3.4 พันล้านบาท จากเดิมคาดว่าจะลดลง 10% จากปีก่อน
เนื่องจากบริษัทคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ราคาถ่านหินน่าจะปรับตัวสูงขึ้นตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังราคาถ่านหินจะสูงกว่าจากราคาปัจจุบันที่ระดับ 62 เหรียญ/ตัน และอุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหินน่าจะมีการเพิ่มกำลังการผลิต หลังจากชะลอตัวในช่วงปลายไตรมาส 4/51 จนถึงต้นไตรมาส 1/52 อาทิ อุตสาหกรรมปูนซิเมนต์
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/52 รายได้และกำไรของบริษัทอาจจะลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่จะลดลงไม่มากนัก โดยในไตรมาส 1/51 มีกำไรสุทธิ 138 ล้านบาท
"นักวิเคราะห์อาจจะประเมินว่ากำไรในไตรมาส 1 ลดลงเยอะจากงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะไตรมาส 4 บริษัทมีกำไรเพียง 8 ล้าน ทำให้เกิดความกังวลต่อเนื่องมายังไตรมาส 1แต่เบื้องต้นยืนยันว่ากำไรลดลงไม่มากจากปีก่อนในไตรมาสเดียวกัน"นายชัยวัฒน์ กล่าว
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีสต็อกถ่านหินอยู่ประมาณ 3-5 แสนตัน ซึ่งจะยังไม่เร่งขายถ่านหินออกไป เพราะมองแนวโน้มราคาถ่านหินน่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง หลังจากสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น ราคาน้ำมัน ปิโตรเคมี ทีมีทิศทางราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทมีสต็อกจำนวนมากจะส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือประมาณ 25-27% จากปี 51 ที่อยู่ระดับ 30%
ส่วนการลงทุนเหมือนถ่านหินในอินโดนีเซีย นายชัยวัฒน์ คาดว่า ในครึ่งปีหลังจะมีความชัดเจนทั้งเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น ปริมาณถ่านหิน และ แหล่งถ่านหินที่จะเข้าไปลงทุน แต่ในส่วนของผลตอบแทนจากการลงทุนคงจะเห็นชัดเจนในปีถัดไปมากกว่า
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทมีกระแสเงินสดและแหล่งเงินลงทุนที่สามารถเข้าแหล่งถ่านหินใหม่ได้ เนื่องจากบริษัทจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังของปี 51 เพียง 0.25 บาทต่อหุ้น จากครึ่งแรกจ่ายปันผล 1.00 บาทต่อหุ้น เนื่องจากต้องการเก็บเงินสดไว้ลงทุนต่อไป
ส่วนกรณีที่นายชัยวัฒน์ได้ขายหุ้น UMS ออกมาราว 8 แสนหุ้นในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า เป็นการขายเพื่อนำเงินไปลงทุนธุรกิจของครอบครัว โดยทั้งหมดถืออยู่ 30 ล้านหุ้น ฉะนั้นการขายออกไปถือว่าน้อยมาก และยืนยันว่าธุรกิจ UMS ยังดีอยู่ และจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน UMS ต่อไป