นายวิคเตอร์ ยูน ตั๊ค ชอย กรรมการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) หรือ UOBKH เปิดเผยว่า บริษัทยืนยันความพร้อมจะควบรวมกิจการกับบริษัทหลักทรัพย์แห่งอื่นเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง รวมทั้ง บล.บีฟีท (BSEC) แม้ว่าก่อนหน้านี้จะได้ยุติการเจรจาในเบื้องต้นไป แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีข้อยุติในการควบรวมกิจการกับบริษัทใด และเราก็มองรายอื่นด้วย
“การควบรวมถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ปัญหาการควบรวมขึ้นอยู่กับแต่ละดีลว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ ซึ่งเราแสดงเจตจำนงที่จะควบรวม เพราะบริษัทแม่ ก็โตมาจากการควบรวมเหมือนกัน แต่หลังจากที่มีการยกเลิกกับ BSEC เราก็ยังไม่ได้คุยกับใครอีกเลย แต่คงจะเห็นได้เมื่อไหร่ คงยังตอบไม่ได้ คงขึ้นกับจังหวะและเวลาที่เหมาะสม" นายวิคเตอร์ กล่าว
ทั้งนี้ การควบรวมกิจการคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับบริษัทแต่เพียงฝ่ายเดียว คงจะต้องขึ้นกับอีกฝ่ายด้วย แต่บริษัทมองผลในแง่ของการต่อยอดธุรกิจในส่วนของลูกค้ารายย่อย(retail) เพราะที่ผ่านมาเราก็โตจากรายย่อย อย่างไรก็ตาม ภายใต้เศรษฐกิจปัจจุบันที่ชะลอตัวและวอลุ่มที่ปรับตัวลดลง บริษัทก็จะต้องประคองและดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการลดต้นทุน แต่ยังไม่มีแผนลดพนักงานที่มีปัจจุบัน 90-100 คน และการปิดสาขาที่ปัจจุบันมีอยู่ 10 แห่ง
"ต้องยอมรับในสภาพเช่นนี้ การควบรวมจะทำให้ธุรกิจหลักทรัพย์อยู่รอดได้ และการที่ทางการสนับสนุนการควบรวมอีก ซึ่งผมมองว่ามีความจำเป็นถ้าต้องการให้ภาคการเงินมีความเข้มแข็งขึ้นก่อนที่จะเปิดเสรี ซึ่งเราเองก็มีความพร้อมในการควบรวม ส่วนกรณี BSEC ไม่เกี่ยวกับเรา ส่วนจะเปิดรับใครอยู่ที่จังหวะและโอกาส"นายวิคเตอร์ กล่าว
บริษัทยังมองหาธุรกิจใหม่ๆ มาเสริมรายได้ นอกเหนือจากธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นภายใต้วอลุ่มที่น้อย โดยมีแผนจะเพิ่มธุรกิจด้านอนุพันธุ์เพื่อเสริมรายได้ นอกเหนือจากธุรกิจอินเตอร์เน็ตเทรดดิ้งที่ปัจจุบันได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัทไม่มีปัญหาในเรื่องสภาพคล่องเพราะมีเงินสดกว่า 1.4 พันล้านบาท อีกทั้งยังมีบริษัทแม่ คือ ยูโอบี สิงคโปร์ มีส่วนของผู้ถือหุ้นกว่า 900 ล้านเหรียญสิงคโปร์ จึงไม่มีความกังวล และเชื่อว่ายังมีความสามารถในการสร้างกำไรได้ต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีกำไร 80 กว่าล้านบาท