บมจ.ซีฟโก้(SEAFCO)มั่นใจปี 52 มีกำไรสุทธิสูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.61 ล้านบาท แม้รายได้จะประคองตัวใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 1.6 พันล้านบาท เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10-11% จากปีก่อนอยู่ที่ 7-8% สาเหตุสำคัญจากราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวลดลง
ขณะเดียวกันงานก่อสร้างรถไฟฟ้าที่กำลังจะเกิด ทำให้บริษัทมีความหวังได้งานเพิ่ม โดยคาดว่าปีนี้จะมีงานใหม่กว่า 1 พันล้านบาท โดยปัจจุบันมีงานในมือ(backlog)อยู่ราว 1.7 พันล้านบาท จากสิ้นปี 51 มี backlog 1.3 พันล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 52 จะคงงานในมือประมาณ 700-800 ล้านบาทเน้นรับงานในประเทศ ส่วนงานต่างประเทศขอเว้นไว้ก่อน แต่ระยะยาวยังมองอยู่
"กำไรปีนี้ต้องสูงกว่าปีที่แล้วแน่ เพราะปีที่แล้วกำไรแค่ 11 ล้านบาท เพราะปีที่แล้วเราขาดทุนตั้ง 3 ไตรมาส และสามารถมาพลิกฟื้นในไตรมาส 4 ทำให้มีกำไร ทำให้เรามองเห็นแนวทางว่าปีนี้ต้องดีกว่าปีที่แล้วแน่นอน ภาวะเศรษฐกิจมันแย่ แต่เรามี backlog ค่อนข้างเยอะ และเรา utilize เครื่องมือโดยไม่สูญเปล่าทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้"นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SEAFCO กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้น(gross margin)ไว้ที่ 10-11% จากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 7-8% ซึ่งเชื่อว่าทำได้ เพราะตอนนี้สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะราคาวัสดุ ขณะที่ราคาน้ำมันไม่มีอะไรหวือหวา
*รถไฟฟ้าเกิดช่วยดัน backlog
นายณรงค์ กล่าวว่า แนวโน้มการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่จะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ทำให้บริษัทคาดว่าจะมีงานเพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทเข้าไปมีส่วนร่วมในงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐแทบทุกงาน ไม่ว่าจะเป็นโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงค์ งานก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน
สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 1 ที่มีมูลค่างานประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะมีส่วนเป็นงานเสาเข็มมูลค่า 500 ล้านบาท(เฉพาะค่าแรง) ซึ่งอาจจะกระจายไปหลายบริษัท และยังคาดว่าจะมีงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าตามมาอีกมาก
"เมื่อมีโครงการรถไฟฟ้า ทำให้บริษัทเบาใจขึ้น จะเกิดการสร้างงาน ธุรกิจต่อเนื่องก็เดินหน้า ที่พักอาศัยก็ขึ้น คอนโดฯอาจจะกลับมาอีก งานเสาเข็มก็ตามมา ผมว่ารถไฟฟ้าเหมือนประกายไฟ เพราะคนก็รอมานานแล้ว พอมันเกิดอย่างอื่นก็ขึ้นตาม" กรรมการผู้จัดการ SEAFCO กล่าว
นายณรงค์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทไม่ได้รับเฉพาะงานเสาเข็ม แต่จะเพิ่มงานก่อสร้างห้องใต้ดิน ซึ่งเป็นงานต่อเนื่องจากงานเสาเข็ม และยังมีงานรับสร้างถนนด้วย ซึ่งเป็นธุรกิจใกล้เคียงกัน ซึ่งบริษัทหันมารับงานก่อสร้างต่อเนื่องมากขึ้น หลังจากที่งานเสาเข็มลดลงตั้งแต่ปีก่อน
"บริษัทยังยึดธุรกิจหลัก คือ เสาเข็มเจาะ เพราะสร้างมาร์จิ้นได้ดี แต่ถ้าภาวะเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องไปทำอย่างอื่น เรามีคน เรามีเครื่องมืออยู่เยอะ เราทำอะไรก็ได้" นายณรงค์ กล่าว
สัดส่วนงานของบริษัทมาจากงานภาคเอกชน 60% และภาครัฐ 40%
นายณรงค์ คาดว่า ทั้งปี 52 บริษัทจะมีงานใหม่ประมาณกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งรวมงานถนน งานสะพาน และ งานเสาเข็ม โดยถึงสิ้นปี 52 คาดว่างานในมือ(backlog) อาจจะเหลือ 700-800 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท (ยังไม่ได้หักเป็นรายได้ในไตรมาส 1/52)
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/52 รับงานใหม่มากกว่า 400 ล้านบาท จากสิ้นปี 51 ทีมี งานในมือ 1.3 พันล้านบาท
"ปีนี้สถานการณ์หนักกว่าปีที่แล้ว ในแง่ของการหางาน เพียงแต่ดีที่ว่าราคาวัสดุนิ่ง ต้นทุนมันนิ่ง เศรษฐกิจโลกเป็นอย่างนี้ การลงทุนทั่วโลกก็ลดลง การลงทุนในภาคเอกชนก็ลดลง เราต้องยอมรับ ถึงแม้การลงทุนของรัฐบาล ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะเพิ่มหรือจะลด หรือจะคง แต่รัฐก็คงหาเงินได้ลำบากขึ้นเหมือนกัน"นายณรงค์ กล่าว
*รายได้ปีนี้ทรงตัว
นายณรงค์ กล่าวว่า ปี 52 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 1.6 พันล้านบาทใกล้เคียงปีก่อน โดยจะรับรู้รายได้ backlog เดิม 900 กว่าล้านบาทที่เหลือรับรู้ฯจากงานใหม่ คาดว่าจะประมูลงานเข้ามาอีกอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็จะเป็นงานเสาเข็มโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง
"คือในภาวะอย่างนี้ เราจะไปตั้งเป้า สูงๆ มันก็กระไรอยู่ ถ้าเราทำได้เท่ากับปีที่แล้วก็ถือว่าเก่ง เพราะฉะนั้นในปีนี้ ถ้าเราประคองรายได้ มีกำไร มีงานทำ ให้ไม่ต้องปลดคนงาน ก็ถือว่าเข้าเป้าแล้ว จากเมื่อปลายปีที่แล้ว เราคิดว่าจะปลดคนงาน 20% แต่เรายังไม่ปลดแลย"นายณรงค์ กล่าว
ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 1/52 จะออกมามีกำไร ซึ่งดีกว่าไตรมาส 1/51 ที่มีผลขาดทุน ขณะที่เรื่องการเมืองขณะนี้ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับสะเด็ดน้ำ แต่ก็คงอยู่ในภาวะพอควบคุมกันได้ ยังต้องติดตามต่อไป
*ขอชะลองานต่างประเทศไว้ก่อนจนกว่าหนทางเปิดมากขึ้น
นายณรงค์ กล่าวว่า บริษัทตัดสินใจชะลอรับงานในต่างประเทศ หลังจากที่ปริมาณงานชะลอตัวไปมากตามภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก บริษัทร่วมทุนที่สิงคโปร์ก็ไม่มีงานเข้ามา ทำให้ขณะนี้บริษัทได้นำเครื่องมือกลับแล้วและมีค่าใช้จ่ายไม่มาก แต่หากมีงานดีก็อาจจะกลับไปรับทำอีกครั้ง
ฉะนั้น ในปีนี้บริษัทคิดว่าคงไม่ได้ออกไปทำต่างประเทศ เพราะมีความเสี่ยงสูง ส่วนงานในกัมพูชาที่เคยหวังว่าจะได้งานเสาเข็มของอาคารสูงที่กรุงพนมเปญ ขณะนี้คงต้องชะลอไปด้วยจากปัญหาเรื่องเขาพระวิหาร
"เราเลยคิดว่าช่วงนี้เรารับงานในประเทศดีกว่า ซึ่งดูแลและแก้ปัญหาได้ง่ายกว่า แต่ระยะยาวงานในต่างประเทศเราไม่ทิ้งอยู่แล้ว"นายณรงค์ กล่าว
นอกจากนี้ ในปี 52 บริษัทไม่มีแผนลงทุนเพิ่มเติมแต่อย่างใด มีแต่เพียงการสั่งอุปกรณ์อะไหล่จากต่างประเทศเล็กน้อย
SEAFCO ดำเนินธุรกิจเป็นผู้รับก่อสร้างงานฐานรากและงานโยธาทั่วไป โดยรับงานทั้งจากภาคราชการและภาคเอกชน โดยมีงานหลักคือ งานเสาเข็มเจาะ
ราคาหุ้น SEAFCO ปิดเช้านี้ 3.76% มาที่ 2.76 บาท บวก 0.10 บาท