บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของ บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) ที่ระดับ “A" ในขณะเดียวกันยังยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดเดิมของบริษัทที่ระดับ “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ในการดำเนินงานและเป็นเงินทุนหมุนเวียน อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความเป็นผู้นำตลาดในฐานะผู้ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ตลอดจนจำนวนผู้รับบริการที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แพทย์และผู้บริหารโรงพยาบาลที่มีความสามารถและประสบการณ์ รวมทั้งคุณภาพบริการที่อยู่ในระดับสูง ในการให้อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงเครือข่ายที่แข็งแกร่งของบริษัทภายใต้ชื่อกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาล บีเอ็นเอช
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรที่ค่อนข้างต่ำ ความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้ในอนาคตเนื่องจากบริษัทมีการขยายกิจการทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่คาดว่าจะลดลงเนื่องจากเหตุความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศและภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" ของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการสะท้อนถึงความคาดหมายว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะไม่ลดลงมากนักจากระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแม้ว่าความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงกลางเดือนเมษายนอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อจำนวนผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังคาดว่าการลงทุนในอนาคตของบริษัทจะใช้เงินทุนจากการดำเนินงานเป็นหลักเพื่อให้สามารถคงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ที่ระดับประมาณ 50% อย่างไรก็ตาม หากแผนการลงทุนของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงจนทำให้ระดับหนี้สูงขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้อย่างมีนัยสำคัญก็อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตบริษัท
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการก่อตั้งในปี 2512 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนภายใต้ชื่อโรงพยาบาลกรุงเทพ ปัจจุบันบริษัทมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 19 แห่ง และมีจำนวนเตียงรวมทั้งสิ้น 2,959 เตียง โดยมีโรงพยาบาลที่ประกอบกิจการภายใต้ชื่อโรงพยาบาลกรุงเทพ 13 แห่ง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลสมิติเวช 3 แห่ง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลบีเอ็นเอช 1 แห่ง และภายใต้ชื่อ Royal International Hospital 2 แห่ง รายได้เกือบทั้งหมดของบริษัทมาจากธุรกิจโรงพยาบาล โดยในช่วง 3 ปีหลัง รายได้จากผู้ป่วยประมาณ 56% มาจากผู้ป่วยใน และที่เหลือมาจากผู้ป่วยนอก
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2551 โรงพยาบาลในเครือของบริษัทจำนวน 7 แห่ง คือ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ โรงพยาบาลวัฒโนสถ โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิท โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ และโรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก Joint Commission International (JCI)
กิจการของบริษัทขยายตัวอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมาเนื่องจากการควบรวมกิจการ โดยบริษัทได้ซื้อกิจการของ บริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) บริษัท บีเอ็นเอช เมดิคอล เซ็นเตอร์ จำกัด และโรงพยาบาลในจังหวัดที่สำคัญของประเทศไทยหลายแห่ง เช่น บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ จำกัด และ บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา จำกัด รายได้จากการดำเนินกิจการโรงพยาบาลของบริษัทในช่วงปี 2547-2551 มีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมที่ระดับ 42% และมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมของจำนวนผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 31% และ 29% ตามลำดับ ในขณะที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมของจำนวนวันของผู้ป่วยในที่พักอยู่ในโรงพยาบาลอยู่ที่ประมาณ 27% จำนวนเฉลี่ยของวันที่ผู้ป่วยในเข้ามารับการรักษาลดลงจากประมาณ 3.21 วันในปี2547 มาอยู่ที่ 3.02 วันในปี 2551 อัตราการเติบโตเฉลี่ยของรายได้จากผู้ป่วยนอกแต่ละรายและรายได้จากผู้ป่วยในต่อวันในช่วงปี 2547-2551 อยู่ที่ประมาณ 10%-12% ในขณะที่รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับเพียง 18% ของรายได้รวมในปี 2547 มาอยู่ที่ 36% ในปี 2551
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การควบรวมกิจการกับโรงพยาบาลหลายแห่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาทำให้อัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการเพิ่มขึ้นจาก 40% ในปี 2547 เป็น 54.5% ในปี 2549 ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ 46% ในปี 2551 ภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายลดลงจาก 10.4 เท่าในปี 2547 มาอยู่ที่ 6.7 เท่าในปี 2550 และปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8.07 เท่าในปี 2551 โดยผู้บริหารของบริษัทตั้งใจที่จะคงอัตราส่วนดังกล่าวให้อยู่ในระดับนี้ต่อไปแม้บริษัทจะมีแผนการขยายธุรกิจในอนาคต จากการที่ภาระหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นเงินสกุลบาทและมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ดังนั้น บริษัทจึงไม่มีความเสี่ยงในด้านอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้บริษัทต้องชะลอแผนการลงทุนในการก่อสร้างโรงพยาบาลสมองขนาด 60 เตียงและโรงพยาบาลในกรุงอาบู ดาบี อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีแผนใช้จ่ายในปี 2552 ประมาณ 2,600 ล้านบาท หรือประมาณ 11% ของรายได้จากผู้ป่วยรวมเพื่อการบำรุงรักษาโรงพยาบาลที่มีอยู่และก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่ที่หัวหินและกรุงพนมเปญ
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทใกล้เคียงกับผู้ประกอบการรายอื่น โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้รวมปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากระดับ 22.46% ในปี 2550 เป็น 21.60% ในปี 2551 ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับอัตราการว่างงานในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอาจส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยลดลงและทำให้บริษัทไม่สามารถปรับเพิ่มราคาค่ารักษาได้ ดังนั้นความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมต้นทุนและใช้สินทรัพย์และบริการที่มีอยู่ร่วมกันภายในกลุ่มให้เกิดประโยชน์มากที่สุด การมีสินทรัพย์ที่ค่อนข้างมากซึ่งบางส่วนยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่มีผลทำให้บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง อย่างไรก็ดี อัตราส่วนดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นจาก 11.13% ในปี 2550 มาอยู่ที่ 12.84% ในปี 2551