โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะ"ซื้อ"หรือ"ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว"หุ้น บมจ.ไทยออยล์(TOP)เพราะมองว่าไตรมาส 2/52 ค่าการกลั่นและราคาปิโตรเคมีเป็นขาขึ้นในช่วงสั้น จากไตรมาส 1/52 ที่เริ่มฟื้นตัวจากไตรมาส 4/51 และทั้งปี 52 คาดว่าจะไม่มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมันอย่างในปีก่อน
ราคา TOP ที่ผ่านมาปรับขึ้นตามตลาดหุ้นโดยรวม จึงต้องหาจังหวะให้ราคาอ่อนตัวกว่านี้ เพราะเห็นว่าราคาขณะนี้ มีupside น้อยมาก โดยราคาปิดเช้านี้อยู่ที่ 31.25 บาท ลบ 0.50 บาท(1.57%)จากวานนี้ ดีดตัวขึ้นแรงไต่ขึ้นไปสูงสุดที่ 32.50 บาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.กิมเอ็งฯ ซื้อเมื่ออ่อนตัว 36.00 บล.ฟิลลิป ซื้อ 36.00 บล.เอเซียพลัส ซื้อ 34.37 บล.ทรีนิตี้ ซื้อเมื่ออ่อนตัว 32.00 บล.เกียรตินาคิน เต็มมูลค่า 30.00
นายกิตติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)มองว่า แนวโน้มไตรมาส 2/52 ค่าการกลั่นยังเป็นขาขึ้น เพราะเป็นช่วงฤดูกาลขับขี่(driving season)ในสหรัฐอเมริกา ขณะที่โรงกลั่นในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ก็มีการหยุดซ่อมบำรุงตามปกติ ทำให้กำลังการผลิตหายไป 5% ส่งผลให้ค่าการกลั่นดีขึ้น
ในไตรมาส 1/52 ธุรกิจโรงกลั่นเริ่มฟื้นตัวจากไตรมาส 4/51 ที่มีการขาดทุนสต็อกน้ำมันค่อนข้างมาก ดูแนวโน้มแล้วทั้งธุรกิจโรงกลั่นและราคาอะโรเมติกส์ยังจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง น่าจะช่วยให้ผลกำไรในไตรมาส 2/52 ดีขึ้นด้วย
"ราคาหุ้น TOP ขึ้นมาแรงจริงๆ อาจจะต้องรอจังหวะให้ราคาอ่อนตัวกว่านี้ แล้วค่อยๆทยอยซื้อ แต่คำแนะนำพื้นฐานเราเป็นซื้อเก็งกำไร ...ดูช่วงสั้น ในไตรมาส 2/52 ค่าการกลั่นก็ดี ราคาปิโตรฯก็ดี แต่ครึ่งปีหลังต้องดูทิศทางราคาน้ำมันอีกที แต่ดูทั้งปีราคานี้ก็ยังไม่น่าซื้อเท่าไร ประกอบกับต้องดูทิศทางของตลาดหุ้นโดยรวมด้วย"นายกิตติชาญ กล่าว
แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/52 คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ตามค่าการกลั่นและ spread margin ของธุรกิจอะโรเมติกส์ที่ดีขึ้น โดยค่าการกลั่นในไตรมาสนี้นับถึงปัจจุบันอยู่ที่ 5.64 เหรียญ/บาร์เรล(ล่าสุดค่าการกลั่นอยู่ที่ 6.45 เหรียญ/บาร์เรล) ส่วน spread margin ธุรกิจอะโรเมติกส์ก็ดีขึ้น 28% qoq เป็น 490 เหรียญ/ตัน จากราคาพาราไซลีนที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ราคาเบนซีนปรับตัวขึ้นมาที่ 655 เหรียญ/ตัน ซึ่งเป็นระดับที่ทำให้ spread margin กลับมามีกำไรได้
ดังนั้น จึงคาดว่าผลกำไรปกติไตรมาส 2/52 จะดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก แต่ไม่ดีไปกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10,546 ล้านบาทหรือ 5.17 บาท/หุ้น
ด้านนักวิเคราะห์ของบล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ราคาหุ้น TOP ปรับขึ้นมาตามตลาดหุ้นโดยรวม ซึ่งหุ้นขนาดใหญ่ต่างก็ปรับตัวขึ้นมา และก่อนหน้านี้ราคาหุ้น TOP ได้ปรับลงไปมากแล้ว
"ยังเล่นได้ ในเชิงค่าการกลั่นที่ยังอยู่ในระดับสูง และราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรฯดีขึ้น แต่เราดูแล้ว upside gain จะน้อย"นักวิเคราะห์ กล่าว
อย่างไรก็ดี แนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์ทั้งราคาเบนซีนและพาราไซลีน มีทิศทางที่กำลังจะลดลง จากที่ปรับตัวขึ้นไปสูง เนื่องจากทิศทางราคาน้ำมันปรับตัวลง โดยราคาน้ำมันล่วงหน้าในตลาดไนเม็กซ์ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้เกือบ 5% อย่างไรก็ตาม ก็มองว่าผลประกอบการของบริษัทในปีนี้จะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว
"ในแง่ราคาหุ้น ค่อนข้างเกินมูลค่า การลงทุนตรงนี้ต้องระวัง ยังไม่แนะนำให้เข้าซื้อตอนนี้ แม้ว่าผลประกอบการจะดูดี แต่ในแง่ของราคาหุ้นอาจได้รับผลกระทบการปรับตัวลงของผลิตภัณฑ์ จากอาทิตย์ที่ผ่านมาขึ้นมาแรงมาก ผมว่าอาทิตย์หน้าราคาผลิตภัณฑ์อาจจะทรงกับทรุด ก็มองว่าราคาหุ้นก็จะปรับตัวลดลงด้วย ตอนนี้ราคาหุ้นไม่มี upside แล้ว ถ้าใครมีก็ให้ชายทำกำไรก่อน"นักวิเคราะห์ กล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1/52 จะดีกว่าไตรมาส 4/51 ส่วนไตรมาส 2/52 คาดว่าจะทรงตัว ทั้งปีจะดีขึ้นกว่าปีก่อน เพราะผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันไม่มีแล้ว
สำหรับบทวิเคราะห์ของ บล.ทรีนิตี้ ปรับเปลี่ยนคำแนะนำการลงทุนหุ้น TOP เป็น“ซื้อเมื่ออ่อนตัว"เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 1/52 อาจต่ำกว่าที่คาด จากค่าการกลั่นของ TOP ที่ไม่สามารถสร้าง premium จากค่าการกลั่นสิงคโปร์ได้ และมองว่าช่วงไตรมาส 2-3 Market GRM ของ TOP อาจจะยังไม่ดีขึ้นมากนัก โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลและเจ็ทที่มีสัดส่วนสูงถึงกว่า 60% ยังอ่อนตัวตามดีมานด์การใช้น้ำมันด้านการผลิตและขนส่ง
และจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นในช่วง 1 เดือนจึงเหลือ upside เพียง 8% จากราคาเป้าหมาย 32 บาทในปี 52 คำแนะนำคือ"ซื้อเก็งกำไร"และ"รอซื้อกลับเมื่อราคาอ่อนตัว"
ขณะที่ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)คาดว่า ไตรมาส 1/52 บริษัทจะรายผลประกอบการออกมากำไรสุทธิ 2,371 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นที่ 1.16 บาท ลดลง 38.8%YoY แต่เทียบ QoQ ดีขึ้นมากจากขาดทุน 8,394 ล้านบาท โดยยคาดว่า TOP จะมีค่าการกลั่น(ไม่รวมกำไร/ขาดทุน สต๊อคน้ำมัน)ในไตรมาส 1/52 ที่ 4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 10.9%YoY, 49.3%QoQ สวนทางกับค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงค์โปร์
ราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพและมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น โดยจากผลสำรวจของ Bloomberg และ คาดการณ์ของ Bernstein คาดระดับราคาน้ำมันเฉลี่ยอ้างอิง WTI จะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกไตรมาส จากไตรมาส 1/52 ที่ 41 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 4/52 ส่วนค่าการกลั่นยังมองแนวโน้มไม่ต่างไปจากเดิม คาดว่าใน H2/52 จะอ่อนตัวลง โดยเฉพาะในไตรมาส 3/52 ซึ่งเป็นช่วง low season
แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่เป็นขาขึ้นจากไตรมาสกาอน ทำให้ไม่ต้องรับรู้ขาดทุนสต๊อคน้ำมัน และราคาน้ำมันที่ถูกลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/51 ส่งผลดีทำให้ต้นทุนถูกลง ดังนั้นเราจึงประเมินว่า ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลประกอบการค่อนข้างจำกัด และปรับเพิ่มคำแนะนำจาก "ขาย"เป็น"ซื้อเก็งกำไร"