น.ส.รัมภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ. บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทได้ปรับลดงบลงทุนเหลือ 1.5 พันล้านบาท จากเดิมที่วางไว้ 2 พันล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้บริษัทจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของคณะกรรมการบริษัทที่ให้ความระมัดระวังในปี 52
ทั้งนี้ การปรับลดงบลงทุนดังกล่าวจะสอดคล้องกับแผนงานเปิดสาขาของบริษัทในปีนี้ลดเหลือ 2 แห่ง จากแผนเดิมที่ตั้งไว้ 3-4 สาขา โดยเมื่อต้นเดือน เม.ย.ได้เปิดสาขาใหม่ที่ จ.ศรีสะเกษไปแล้ว และจะเปิดอีก 1 สาขาในช่วงปลายปีนี้
น.ส.รัมภา กล่าวยอมรับว่า บริษัทจะพยายามรักษาการเติบโตของยอดขายในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย 6% จากปีก่อนที่มียอดขาย 6.7 หมื่นล้านบาท โดยการเติบโตของรายได้จะมาจากสาขาใหม่เป็นหลัก ขณะที่สาขาเดิมมองว่าการเติบโตยอดขายคงจะใกล้เคียงปีก่อนที่อยู่ในระดับ 2%
นอกจากนี้ ภายใต้ความผันผวนของวิกฤติการเงินโลก บริษัทคงยังเน้นไปที่สาขาประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลัก แต่จะยังไม่เห็นการขยายสาขามินิบิ๊กซี จนกว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
"ผู้บริหารเราได้รับคำแนะนำและนโยบายว่าในปีนี้จะต้องประหยัดค่าใช้จ่ายและการควบคุมต้นทุนภายใต้เศรษฐกิจที่ผันผวน แต่เราก็ยังมั่นใจว่ากำไรสุทธิจะต้องเติบโตกว่าปีก่อนแน่นอน และถือว่าเป็นปีที่ท้าทายของธุรกิจค้าปลีก"น.ส.รัมภา กล่าว
นางจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและสื่อสาร BIGC กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทยังคงใช้กลยุทธ์ในด้านราคาเป็นตัวกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เข้ามาในบิ๊กซี รวมทั้งจะมีการออกสินค้าภายใต้แบรนด์"แฮปปี้บาท"ซึ่งเป็นสินค้าราคาประหยัดถูกลงประมาณ 40% โดยจะมีการเพิ่มรายการสินค้ากว่า 200 รายการ
นอกจากนี้ ยังได้วางงบการตลาดไว้ในสัดส่วนเดิมที่ 5-6%ของยอดขาย ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับปีก่อน เพื่อใช้ในการกระตุ้นยอดขาย รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดและโปรโมชั่นเพิ่มขึ้น
นางจริยา ยังเปิดเผยว่า ขระนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงสาขาที่นวนคร เพื่อเพิ่มยอดขาย เนื่องจากที่นวนคร เป็นแหล่งนิคมฯ มีคนจำนวนมาก และมีการแข่งขันที่รุนแรง