นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ช.การช่าง(CK) คาดว่า หลังจากสรุปผลการประมูลงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสีม่วงสัญญา 1 เมื่อวานนี้จะส่งผลให้งานใหม่ในปีนี้มีเข้ามาประมาณ 4 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่มีงานในมือ(backlog) 1.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดรับรู้รายได้และกำไรจะไม่ต่ำกว่าปีก่อน
งานที่ได้แล้วแน่นอน ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 1 มูลค่าราว 1.5 หมื่นล้านบาท โครงการก่อสร้างเขื่อนพลังงานน้ำบากใน สปป.ลาว มูลค่างาน 1.2 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ภายในสิ้นปี โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี และงานสร้างทางลอดจรัญสนิทวงศ์ 900 ล้านบาท โรงไฟฟ้า SPP บางปะอิน 5 พันล้านบาท ที่รอเซ็นสัญญาในไตรมาส 2/52 หรือ ไตรมาส 3/52
นอกจากนี้งานอื่นๆ อีกที่คาดว่าจะได้อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทจะไปประมูลงานที่เวียดนาม อินเดียด้วย
นายปลิว กล่าวว่า ในปี 52 บริษัทจะมีกำไรสูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 544.7 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีอัตรากำไร(มาร์จิ้น)ดีขึ้นจากปีก่อนที่มีอัตรา 8-10% สาเหตุมาจากราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะราคาเหล็กลดลงมา 50% และราคาน้ำมันดีเซลลดลงมา 100%
ในด้านยอดรับรู้รายได้ก็เชื่อว่าจะไม่น้อยกว่าปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 1.45 หมื่นล้านบาท มาจาก backlog ปัจจุบัน และงานรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 1 ที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาภายใน 2 เดือน เริ่มก่อสร้างและเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/52
"สายสีม่วงที่เราปรับลดราคาไปให้ประมาณ 1.7 พันล้านบาท กังวลเรื่องของกำไรที่ลดลง แต่พยายามที่จะควบคุมการทำงานให้มีประสิทธิภาพ และก่อสร้างให้เร็วขึ้นจากที่กำหนดไว้ 3 ปี ซึ่งกำไร(ขั้นต้น)ตอนที่ยื่นคาดได้ 5% แต่เมื่อโดนต่อราคาก็ลดไปเกือบครึ่ง แต่คิดว่าโครงการนี้จะทำให้มีกำไร"นายปลิว กล่าว
ส่วนงานรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 2 และ 3 ที่จะเปิดซองราคาในพ.ค.และ มิ.ย.นี้ นายปลิว กล่าวว่า บริษัทคาดหวัง 50/50 ว่าจะได้งานเช่นกัน
CK ยังมีรายได้จากบริษัทร่วมทุน ได้แก่ บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) ถือ 15.32% บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ(BMCL) ถือ 26.01% บมจ.น้ำประปาไทย(TTW) 35.31% บมจ.เซาท์อีสต์ เอเซีย เอนเนอร์จี ถือ 38.00% และ บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด ถือหุ้น 81% ซึ่งจัดตั้งใหม่เพื่อรองรับงานสร้างโรงไฟฟ้า SPP บางปะอิน
*ปีหน้าเล็งได้งานใหญ่"ไซยะบุรี"
นายปลิว กล่าวว่า เมื่อสิ้นปี 51 ที่มีงานในมือน้อย ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท เพราะไม่ต้องการรับงานมากในช่วงที่ราคาวัสดุก่อสร้างสูงมากทำให้มีโอกาสทำกำไรยาก แต่ปีนี้สามารถรับงานมากขึ้นได้ เพราะราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวลงมามาก อย่างงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญา 1 บริษัทจะล็อกราคาวัสดุจนจบโครงการ
"เราตั้งใจรับงานน้อยในปีที่แล้ว เพราะราคาวัสดุก่อสร้างขึ้นสูงมาก แต่ในปีนี้มีหลายงานจ่อเข้ามา วัสดุฯก็ลดลงค่อนข้างมาก และก็เป็นจังหวะดีที่มีเมกะโปรเจ็คต์ ผมก็เชื่อว่าผลประกอบการปีนี้ดีกว่าปีที่ผ่านมาแน่" กรรมการผู้จัดการใหญ่ CK กล่าว
นายปลิว กล่าวต่อว่า ในปีหน้าบริษัทยังมีโอกาสได้งานก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรีที่มีมูลค่างานก่อสร้างกว่า 7 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้ได้เริ่มเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)แล้ว และคาดว่าปีหน้าจะได้รับงาน ขณะนี้กำลังหาผู้ร่วมทุนที่เข้ามาติดต่อ 7-8 รายแล้ว และจะมีการตั้งบริษัทใหม่เพื่อดำเนินงานก่อสร้างสำหรับโครงการนี้โดยเฉพาะ โดย CK จะเป็นผู้ถือหุ้นหลัก
ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงน้ำไซยะบุรี ในลาว มีมูลค่าโครงการ 9 หมื่นล้านบาท กำลังการผลิตไฟฟ้า 1,260 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร CK ยังแสดงความกังวลประเด็นการเมือง หากเกิดเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็จะทำให้งานประมูลโครงการใหม่ของภาครัฐล่าช้าออกไป แต่โครงการที่ครม.หรือรัฐบาลอนุมัติให้ดำเนินการคงไม่กระทบ เช่น รถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) ก็คาดว่าจะดำเนินการประมูลในปีนี้ เพราะได้เงินกู้จากญี่ปุ่นแล้วรวมทั้งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และสายสีเขียว รวมมูลค่าประมาณ 2.4 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีงานรถไฟรางคู่ 3.6 หมื่นล้านบาท และงานก่อสร้างถนนอีกว่า 5 พันล้านบาท
ด้านนายอนุกูล ตันติมาสม์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ CK กล่าวถึงความคืบหน้าคดีที่กิจการร่วมค้า บีบีซีดี ได้ยื่นฟ้องการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) เพื่อเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มจากการก่อสร้างทางด่วน 3.4 พันล้านบาท (รวมดอกเบี้ย) โดยระหว่างนี้ ศาลแพ่งได้ส่งให้ศาลปกครองว่าเข้าข่ายรับพิจารณาฟ้องร้องหรือไม่
อนึ่ง เมื่อต้นปี 50 ศาลฎีกากลับคำพิพากษาของศาลแพ่งที่บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในการชำระเงินให้แก่ กิจการร่วมค้า บีบีซีดี