นายริว โซ โอกิโน กรรมการ บมจ.จี สตีล(GSTEEL)เชื่อว่า ปีนี้จะสามารถพลิกมาเป็นกำไรได้จากที่ขาดทุนในปีก่อน 1.23 พันล้านบาท เนื่องจากสัญญาณการปรับตัวของราคาเหล็กดีขึ้น ไม่ผันผวนเหมือนที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 2 ราคาอยู่ที่ 520 เหรียญสหรัฐ/ตัน ประกอบกับความต้องการของตลาดเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น หลังจากที่สต็อคเก่าหมดลงไป รวมถึงโครงการเมกะโปรเจ็คต์ของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทสามารถพลิกมาเป็นกำไรได้ตามที่คาดหวังไว้ ก็จะสามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ จากที่ในปี 51 ที่ประสบกับภาวะขาดทุนจึงไม่สามารถจ่ายปันผลได้
ส่วนภาระหนี้ที่มีอยู่นั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหา ด้วยการเจรจากับธนาคารในประเทศที่จะรีไฟแนนซ์ทั้งเงินกู้และหุ้นกู้ไปพร้อมกัน ซึ่งก็คงขึ้นกับการตัดสินใจของทางธนาคาร แต่เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาจนทำให้กระทบกับสภาพคล่องอย่างที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายรายกังวล
"จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้บริษัทเชื่อว่าการเติบโตของยอดขายรวมถึง GJS จะมีการเติบโตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 4.9 หมื่นล้านบาท" นายโอกิโน กล่าว
อนึ่ง บทวิเคราะห์ของ บล.ไซรัส คาดว่ากระแสเงินจากการดำเนินงานของ GSTEEL หลังหักดอกเบี้ยจ่ายในปีนี้มีจำนวนเพียง 1.2-1.4 พันล้านบาทไม่พอกับหนี้ที่ครบกำหนด US$75 ล้าน บริษัทมีทางเลือก ได้แก่ ขอเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อยืดเวลาการชำระหนี้,รีไฟแนนซ์,หาพันธมิตร และทางเลือกสุดท้ายคือเพิ่มทุน
ด้านนายสมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ GSTEEL กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมทุนจำนวน 4 ราย ญี่ปุ่น อินเดีย สหรัฐ และมิตซุย ซึ่งมีความคืบหน้าแล้วกว่า 60-70% และคาดว่าจะสรุปดีลได้ภายในครึ่งหลังของปีนี้
บริษัทมีเป้าหมายจะคัดเลือกพันธมิตรใหม่ 1-2 ราย ที่มีความถนัดด้านเทคโนโลยีและการตลาด โดยหลังจากได้พันธมิตรเชื่อว่าจะสนับสนุนให้รายได้มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 10-20% อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มคุณภาพของเหล็กให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการทดแทนการนำเข้าและทำให้ต้นทุนลดลง 5-10%
"จากภาพรวมของธุรกิจคงจะไม่เห็นการสร้างโรงงานใหม่ไปอีก 5 ปี ขณะที่เวียดนามที่มีโครงการจะทำเหล็กรีดร้อนก็คงจะ delay ไปอีก 3 ปีข้างหน้า จะส่งผลดีกับเรามีออร์เดอร์เพิ่ม ภายใต้จากที่ได้พันธมิตรใหม่...เราไม่มีแผนลงทุน แต่จะเน้นการหาพันธมิตร เพื่อเสริมศักยภาพมากกว่า" นายสมศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ มองว่าราคาเหล็กรีดร้อนในปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 550-600 เหรียญ/ตัน ถือว่าเป็นราคาที่ทรงตัวไม่ผันผวนเมื่อเทียบกับช่วงต้นที่ราคาขึ้นไปสูงสุด(peak)ไปถึง 1,200 เหรียญ/ตัน
สำหรับราคาหุ้นที่ปรับสูงในช่วงที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ กล่าวว่า น่าจะเนื่องจากนักลงทุนเห็นว่าราคาถูกเลยเข้ามาเก็บ เพราะราคาหุ้นตามมูลค่าทางบัญชี(BV)อยู่ที่ 2.57 บาท ขณะที่นักลงทุนเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาสู่ภาวะปกติของเหล็ก ไม่เหวี่ยงแรงเหมือนก่อนหน้านี้