ข้อมูลของสำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า ตัวเลขการทำช็อตเซลในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาพุ่งขึ้นรุนแรงสุดในรอบ 2 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาวะการซื้อขายที่คักคักที่สุดในรอบ 16 ปีของตลาดกลุ่มนี้อาจชะลอตัวลงเนื่องจากตัวเลขกำไรของบริษัทจดทะเบียนหดตัวลง โดยดัชนี iShares MSCI Emerging Markets Index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดธุรกรรมการทำช็อตเซลใน 23 ตลาดหุ้นของประเทศกำลังพัฒนา พุ่งขึ้น 51% ในเดือนมี.ค.
เอริก คอนราดส์ นักวิเคราะห์จาก ING Investment Management การทำช็อตเซล หรือการที่นักลงทุนยืมหุ้นจากบริษัทหลักทรัพย์และเทขายเพราะคาดว่าราคาจะปรับตัวลดลงนั้น ขยายตัวขึ้นอย่างมากแม้หลายประเทศพยายามสกัดกั้นการทำช็อตเซล โดยในช่วงปลายปีที่แล้วคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของจีนและฮ่องกงมีคำสั่งห้ามทำช็อตเซลเป็นการชั่วคราวเพราะเกรงว่าธุรกรรมดังกล่าวยิ่งส่งผลให้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นจีนผันผวนหนักขึ้น
ไมเคิล ฟู นักวิเคราะห์จาก Clariden Leu AG กล่าวว่า "ก.ล.ต.กังวลว่ากลุ่มช็อตเซลอาจเข้ามาครอบงำและกำหนดทิศทางตลาดในยามที่นักลงทุนส่วนใหญ่ลังเลที่จะเข้าเทรดในตลาดหุ้น ซึ่งในระยะสั้นนั้นคำสั่งห้ามทำช็อตเซลอาจช่วยให้ระบบการซื้อขายในตลาดกลับมาทำงานได้อย่างปกติได้ แต่ต่อมาก.ล.ต.ได้เปิดทางให้มีการทำช็อตเซลเพื่อกระตุ้นการซื้อขายให้คึกคักขึ้น"
ในช่วงปลายปีที่แล้ว คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทั้งในสหรัฐและอังกฤษ ประกาศห้ามทำช็อตเซลล์หุ้นในกลุ่มการเงิน เพื่อยับยั้งการกระแสเก็งกำไรไม่ให้สร้างความเสียหายต่อตลาดการเงิน หลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส ล้มละลาย และอเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (AIG) ขอกู้เงินจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน