นายชนาธิป ไตรวุฒิ กรรมการ บมจ.จี เจ สตีล(GJS) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดการผลิตลงมาเหลือ 65% หรือ 6 หมื่นตัน/เดือน จากที่เคยผลิต 9 หมื่นตัน/เดือน เพื่อให้เหมาะสมกับคำสั่งซื้อ(ออร์เดอร์)ที่ชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และคาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่องในไตรมาส 2/52 โดยเฉพาะออร์เดอร์จากตลาดต่างประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจของโลก
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีความหวังว่าออร์เดอร์ในช่วงไตรมาส 3/52 และไตรมาส 4/52 น่าจะฟื้นตัวขึ้น จากที่เห็นแนวโน้มราคาเหล็กในตลาดโลกเริ่มฟื้นตัวขึ้น ประกอบกับ โครงการเมกะโปรเจ็คต์ของภาครัฐ น่าจะช่วยทำให้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น ในครึ่งปีหลังการผลิตก็มีโอกาสจะกลับมาสู่ระดับปกติได้
นายชนาธิป คาดว่าในไตรมาส 2/52 ยังคงเห็นการชะลอออร์เดอร์ของลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรปและอินเดียต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา จากผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ปริมาณความต้องการลดลงตามไป
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าสถานการณ์จะกลับมาดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3/52 และไตรมาส 4/52 จากโครงการเมกะโปรเจ็คต์ที่จะเกิดขึ้น ประกอบกับราคาเหล็กที่เริ่มผันผวนน้อยลง ซึ่งจะเริ่มเห็นสัญญาณในไตรมาส 2/52 ที่ราคาเหล็กเริ่มปรับขึ้นมาอยู่ที่ 500 เหรียญ/ตัน จากไตรมาส 1/52 ที่ราคา 400 เหรียญ/ตัน แต่ยอมรับว่าขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินยอดขายในปี 52 ได้ว่าจะมียอดขายที่ 9 แสนตัน/ปีเท่าปีก่อนหรือไม่
นอกจากนี้ บริษัทปรับแผนด้วยการมาให้ความสำคัญในการขายในประเทศมากขึ้นเป็นสัดส่วน 80-90% จาก 76% ในปีก่อน ขณะที่ต่างประเทศลดลงเหลือ 10% จาก 24% ในปีก่อน ขณะเดียวกันบริษัทให้ความสำคัญในการลดต้นทุนด้วย ซึ่งการที่ GJS ร่วมกับบมจ.จี สตีล (GSTEEL) ในการผลิตจะทำให้สามารถลดต้นทุนได้ 100 กว่าล้านบาท/ปี ลดค่าใช้จ่าย อาทิ ค่าไฟ ค่าน้ำ
สำหรับการควบรวมระหว่าง GJS กับ GSTEEL จะมีเกิดขึ้นหรือไม่ นายชนาธิป กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับอนาคต แต่ขณะนี้ถือเป็นบริษัทร่วมอยู่แล้ว และช่วยในการลดต้นทุนในการซื้อวัตถุดิบได้