ทริสเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร "อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส" เป็น“A+"จาก“A"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 24, 2009 09:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (AYCAL) ซึ่งเดิมชื่อ บริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (GECAL) เป็นระดับ “A+" จากเดิม “A" ตามอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทแม่ คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งปรับเพิ่มเป็น “AA-/Stable" จาก “A+/Positive" โดยอันดับเครดิตของบริษัทได้รับการเพิ่มสถานะจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทเองเนื่องจากฐานะการเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งช่วยให้ธนาคารบรรลุเป้าหมายการเป็นธนาคารพาณิชย์แบบครบวงจร ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอยู่บนพื้นฐานฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และผลงานที่ได้รับการยอมรับ และระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดีของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วและรถจักรยานยนต์ ตลอดจนภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยน้อยลงซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางธุรกิจ ผลประกอบการ และคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทในอนาคต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าทิศทางธุรกิจของบริษัทจะมีความสอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจของกลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยาและบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารต่อไป แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถของผู้บริหารของบริษัทในการรักษาฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าผู้บริหารที่มีประสบการณ์ ระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารกรุงศรีอยุธยาจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและปรับปรุงฐานะทางการเงินให้ดีขึ้นในระยะปานกลาง

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทอยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส เคยเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้น 100% โดย GE Capital Asia Investment Inc (GECAI) ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ได้กลายมาเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของธนาคาร การที่ GE Capital International Holdings Corporation (GECIH) ซื้อหุ้น 32.93% ในธนาคารกรุงศรีอยุธยามีผลทำให้บริษัทมียอดลูกหนี้คงค้างทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วน 18% ของยอดสินเชื่อตามงบการเงินรวมของธนาคาร ในขณะที่มีรายได้สุทธิสำหรับปี 2551 คิดเป็นสัดส่วน 32% ของรายได้สุทธิตามงบการเงินรวมของธนาคาร การสนับสนุนทางธุรกิจและการเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาคาดว่าจะช่วยยกระดับฐานะทางการตลาดในธุรกิจหลักและเสริมระดับความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังได้นำรูปแบบการบริหารความเสี่ยงตามแนวปฏิบัติของธนาคารมาประยุกต์ใช้ ซึ่งทำให้บริษัทและบริษัทแม่มีการกำกับดูแลภายใต้เกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

บริษัทมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในบรรดาบริษัทที่ให้บริการเช่าซื้อรถยนต์ทั้ง 20 รายในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง ด้วยยอดคงค้างสินเชื่อเช่าซื้อรวม 95,269 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 13% ในปี 2551 และยังเป็นผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ลำดับที่ 2 ที่มียอดคงค้างสินเชื่อ 3,582 ล้านบาทในปี 2551 ด้วยประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจถึง 16 ปี บริษัทสามารถพัฒนาคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ช่วยให้บริษัทประสบความสำเร็จในการแข่งขัน การปรับโครงสร้างธุรกิจของธนาคารกรุงศรีอยุธยาในปี 2551 ทำให้บริษัทกลายเป็นบริษัทลูกเพียงแห่งเดียวที่ขับเคลื่อนธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของธนาคาร โดยให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อสำหรับรถยนต์ใหม่ รถยนต์ใช้แล้ว และรถจักรยานยนต์ บริษัทยังให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหลักประกันภายใต้ตราสัญลักษณ์ Car4Cash ด้วย การปรับโครงสร้างธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวทำให้ยอดคงค้างสินเชื่อหักดอกเบี้ยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ในปี 2551 ของบริษัทเพิ่มขึ้น 23% จาก 79,846 ล้านบาทในปลายปี 2550 เป็น 98,566 ล้านบาทในปลายปี 2551 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิในปี 2551 มีจำนวน 5,731 ล้านบาท ต่ำกว่า 6,076 ล้านบาทที่รายงานในปี 2550 อันเป็นไปตามทิศทางขาลงของอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงเล็กน้อยในปี 2551 โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยลดลงเป็น 1.74% และ 15.33% ตามลำดับ ในปี 2551 จากระดับ 2.27% และ 22.03% ในปี 2550

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ระบบการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพและการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตช่วยให้บริษัทอยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีแม้ว่าบริษัทจะมีพอร์ตสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงก็ตาม ณ เดือนธันวาคม 2551 สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ซึ่งหมายถึงสินเชื่อที่ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือนขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วน 2.22% ของสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยของบริษัท เพิ่มขึ้นจาก 1.99% ในปี 2550 แต่ก็นับว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นในธุรกิจเดียวกัน อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทลดลงเป็น 10.90% ณ สิ้นปี 2551 จาก 11.95% ในปี 2550 เนื่องจากการควบรวมสินเชื่อเช่าซื้อของบริษัทลูกในเครือของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ฐานะทุนของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าผู้ประกอบการเช่าซื้อรายอื่นในตลาดที่มีพอร์ตสินเชื่อในลักษณะที่มีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีฐานทุนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ