นายนิมิตร หมดราคี ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.124 คอมมิวนิเคชั่นส (PR124) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า คาดว่ารายได้ในปีนี้น่าจะมากกว่าปี 51 ที่มีรายได้ประมาณ 59 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทมีงานเข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปีโดยมีลูกค้าที่เซ็นสัญญาไปแล้วและเป็นลูกค้าขนาดใหญ่ มีสำนักเลขาธิการวุฒิสภา ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งจะมีงานต่อเนื่อง และงานไทยแลนด์อีลิท การ์ด และมีลูกค้าเอกชนขนาดใหญ่อีก 3 ราย เป็นลูกค้าต่างประเทศอีก 3 ราย ส่วนลูกค้าเดิมๆ ก็ยังอยู่ครบหมดประมาณ 20 กว่ารายไม่ได้หนีไปไหน มูลค่าเยอะพอสมควรแต่ยังไม่ได้รายงานคณะกรรมการบริษัท(บอร์ด) ขอยังไม่เปิดเผยตัวเลข ถือว่าเป็นงานระยะยาวที่ดีทีเดียว ซึ่งก็แล้วแต่เงื่อนไขทางการ บางงานก็ 1 ปี หรือ 6-7 เดือน แต่งานราชการโชคดีคือว่าส่วนมากทำไปแล้ว โอกาสที่จะได้งานต่อก็มีสูง
"ปีที่แล้วตกต่ำมาก ปีนี้น่าจะดีกว่าเยอะ ดีกว่า 59 ล้านบาทแน่ ส่วนจะโตเท่าไรนั้นก็อยากจะโตเยอะๆ ต้องขอดูสถานการณ์ก่อน ผมมั่นใจว่าดีกว่าปีที่แล้วแน่นอน อยู่ที่สถานการณ์ซึ่งต้องประเดิมเดือนต่อเดือน" นายนิมิตร กล่าว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/52 ค่อนข้างดี เท่าที่ดู 3 เดือนที่ผ่านมาค่อนข้างดีกว่าปีที่แล้วมาก กลยุทธ์ทุกอย่างต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะเรื่องเศรษฐกิจตกสะเก็ดเราไม่สนใจเพราะถูกกระทบด้วยกันทั้งหมด แต่ก็หวังว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะสงบเรียบร้อยลงไป เมื่อสงบทุกอย่างก็จะฟื้นคืน โดยเราก็ยังโฟกัสในตลาดภาครัฐอยู่ ภาคเอกชนเราก็อยากทำ แต่เนื่องจากเอกชนถูกผลกระทบเยอะ และงบประมาณก็น้อย ดังนั้นเราจึงพยายามโฟกัสไปยังตลาดภาครัฐและปีนี้ประมาณ 60% คิดว่ารายได้ของเรามาจากภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้รัฐต้องใช้งบประชาสัมพันธ์จำนวนมาก
"ปีนี้คิดว่าน่าจะเป็นปีที่ท้าทาย น่าจะเป็นอีกปีที่ค่อนข้างดีสำหรับเรา เพราะมีลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามาถือว่าเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ค่อนข้างดี หากเทียบกับปีที่แล้วปีนี้หน้าตาดีกว่า" นายนิมิตร กล่าว
ส่วนจะพลิกเป็นกำไรได้หรือไม่ยังตอบไม่ได้ แต่ปีนี้ก็น่าจะได้กำไร ก็หวังว่าจะได้ เพราะเริ่มเข้าที่แล้ว
สำหรับความคืบหน้าในเรื่องพันธมิตรนั้น น่าจะสรุปได้เร็วๆนี้ เราก็อยากจะสรุปได้เดือนหน้านี้เลย เป็นบริษัทในประเทศรายเดียว
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าจะขายบริษัททิ้ง นายนิมตร กล่าวว่า เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะขายบริษัททิ้ง ไม่มีทาง ดูผู้ถือหุ้นซิ ผมซื้อเข้าตลอด ผมไม่เคยขายหุ้นออก มีแต่ซื้อเข้าตลอด รับประกันได้ ผู้ถือหุ้นของผมก็สบายใจ เพราะถ้าตราบใดที่เราดูแลอยู่ เรายังทำงานขยันขันแข็ง ขาดทุนปีที่แล้วผู่ถือหุ้นก็ไม่ว่า
ล่าสุด โครงสร้างผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 2 เมษายน 52 นายนิมิตร ถืออยู่ 12,363,500 หุ้น หรือคิดเป็น 27.47%