APURE หวังปี52 พลิกกำไร หลังรุกธุรกิจผัก-ผลไม้ส่งออก เหตุมาร์จิ้นดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 24, 2009 17:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายภูมิพัฒน์ ธนาวรพิทักษ์ ประธานกรรมการ บมจ.อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) เปิดเผยภายหลังให้ผู้ถือหุ้นสอบถามเรื่องเพิ่มทุนว่า คาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 208 ล้านหุ้นในราคา 0.70 บาทต่อหุ้นได้ในต้นเดือนมิ.ย.นี้ หลังจากที่กระบวนการเสร็จสิ้นในช่วงปลายเดือนพ.ค.โดยการเพิ่มทุนครั้งนี้ได้ผ่านการประชุมจากคณะกรรมการบริษัทครั้งใหม่แล้วจากแผนเดิมที่จะเพิ่มทุนในปีก่อนแต่พอเจอสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจจึงทำให้ชะลอ

ประกอบกับมีปัญหาในช่วงที่ผ่านมาที่หุ้นถูกแขวน SP จึงไม่สามารถกำหนดมูลค่าของหุ้นได้แต่ปัจจุบันเปิดซื้อขายหุ้นแล้วทำให้นำราคาหุ้นบนกระดานมาคำนวณได้ โดยคาดว่าเม็ดเงินจากการระดมทุนในครั้งนี้ที่ 196 ล้านบาท

ในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวบริษัทจะขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมก่อนและหากขายไม่หมดก็จะเสนอให้กับ PP ซึ่งบริษัทก็ได้มีการเจรจากับ PP ต่อเนื่อง 3 รายมาโดยตลอดและก็แสดงความสนใจที่จะซื้อหุ้นจึงไม่น่ามีปัญหา ซึ่ง PP ที่เจรจานี้เชื่อว่าจะเป็นการลงทุนระยะยาว

"วันนี้ที่เราประชุมผู้ถือหุ้นไม่ได้ก็เพราะไม่ครบองค์ตามกฎเกณฑ์แต่เราก็ได้ชี้แจงถึงการเพิ่มทุนที่ผู้ถือหุ้นถามซึ่งเรามั่นใจพอสมควรว่าผู้ถือหุ้นเดิมจะใช้สิทธิเพราะธุรกิจอาหารจะเติบโตไปได้และยังมีผู้ถือหุ้น PP ที่แสดงความสนใจที่จะซื้อหุ้นอีกเราจึงสบายใจ"

โดยเงินจะได้จากการเพิ่มทุน 196 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการชำระหนี้สถาบันการเงิน พัฒนาธุรกิจไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรให้มีความทันสมัยและแข่งขันภายใต้เป้าหมายบริษัทที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจผักและผลไม้สดส่งออกมากขึ้นเนื่องจากมาร์จินสูง ประกอบกับมาใช้ในการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของบริษัท

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนผักและผลไม้สดส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 50% ซึ่งเงินจากการเพิ่มทุนก็จะทำใหั้ไปถึงสัดส่วนนี้ได้เร็วขึ้นและความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะรัสเซียและแถบสแกนดิเนเวีย จากปัจจุบันสัดส่วนอยู่ที่ 40-45% และธุรกิจข้าวโพด 55% แต่ไม่ใช่ว่าข้าวโพดไม่โต ก็ไปได้เพียงแต่สัดส่วนผักและผลไม้สดโตมากกว่า และการที่ผักและผลไม้สดสัดส่วนสูงขึ้น ซึ่งก็มีมาร์จินสูง ถึง 10% เมื่อเทียบกับข้าวโพด 5% ก็เชื่อว่าจะทำให้บริษัทสามารถพลิกกลับมาเป็นกำไรจากที่ขาดทุน ประกอบกับการที่บริษัทปรับวิธีในการขนส่งสินค้ามาส่งทางเรือแทนการขนส่งทางอากาศซึ่งจะช่วยในการลด cost แม้ระยะเวลาในการขนส่งทางเรือจะนานกว่าแต่บริษัทก็ได้มีการนำเทคโนโลยีในการถนอมอาหารมาช่วยซึ่งก็ทำให้ถนอมอาหารได้ 40 วัน

จากธุรกิจผักและผลไม้สดที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีทำให้เชื่อว่าในปีนี้บริษีทจะมีรายได้ที่เติบโตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้ จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.5 พันล้านบาท และถือว่าไม่ยากเพราะในอดีตที่ผ่านมาบริษัทก็เคยมีรายได้อยู่ที่เฉลี่ย 1.9 พันล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ