นายวีระศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH) เปิดเผยว่า บริษัทสนใจซื้อกิจการสายโพลิเมอร์ เพื่อต่อยอดธุรกิจ โดยเพาะโพลีเมอร์ที่ใช้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภค ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็น และเชื่อว่าตลาดมีความต้องการมากกว่าปิโตรเคมีเกรดพิเศษที่ใช้ในสินค้าประเภทชิ้นส่วนรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ขณะนี้ผู้ผลิตหลายรายประสบปัญหาเนื่องจากไม่มีคำสั่งซื้อเข้ามา
นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทเองก็เน้นผลิตปิโตรเคมีที่ใช้กับสินค้าอุปโภคบริโภค และที่ผ่านมาได้มีบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยได้เข้าเจรจากับบริษัท แต่โดยส่วนตัวมองว่าราคาที่เสนอเข้ามายังไม่ใช่ราคาทึ่ดีที่สุด
"ผมประเมินว่าวิกฤตเศรษฐกิจยังไม่ได้เข้าสู่จุดต่ำสุดอย่างแท้จริง ทำให้การเสนอราคาเพื่อเข้าซื้อกิจการยังอยู่ในระดับสูง แต่ยอมรับว่ามีการเข้ามาพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง"นายวีระศักดิ์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมียังเป็นเรื่องยากที่คาดว่าจะเข้าสู่ช่วงขาลงอีกหรือไม่ แต่ในช่วงไตรมาส 1/52 ยอมรับว่าราคากลับมาฟื้นตัวดีขึ้น น่าจะเป็นการทยอยเก็บสต็อกของผู้ผลิต หลังจากที่ทุกคนเห็นสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่อาจจะเป็นช่วงสั้นๆ ขณะที่กำลังการผลิตในประเทศแถบตะวันออกกลางก็ล่าข้าออกไป จึงเชื่อว่าช่วยให้ราคาปิโตรเคมียังไม่ปรับตัวลงอย่างรุนแรง แต่สถานการณ์ในปัจจุบันก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยประมาณการว่าปิโตรเคมีจะเอยู่ในช่วงขาลงในปี 52-53
นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 1/52 ดีขึ้นจากไตรมาส 4/51 แต่เมื่อเทียบกับกับงวดเดียวกันของปีก่อนก็ยังไม่สามารถประเมินได้ แต่ก็ถือว่าออกมาเป็นที่น่าพอใจ
ส่วนฐานะทางการเงินของบริษัท แม้ว่าอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจะถูกปรับลดลง แต่ในส่วนบริษัทยังไม่ถูกประเมินอันดับเครดิตใหม่ แต่ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้ตัดสินใจว่จะออกหุ้นกู้หรือกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยเบื้องต้นหากใช้เงินในการบริหารและลงทุนปีนี้ประมาณ 1หมื่นล้านบาท ซึ่งก็ต้องหาวิธีที่ทำให้เกิดประโยนชน์มากที่สุด
และกรณีที่ บมจ.ปตท (PTT) มีแนวคิดให้บริษัทลูกควบรวมกิจการกันนั้น นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ในฐาะฝ่ายบริหารก็พร้อมที่จะดำเนินการตาม หากการควบรวมส่งผลดีกับบริษัททั้งแง่การต่อรองธุรกิจ ต้นทุนการผลิต และแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิต ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะปัจจุบันบริษั่ได้มีการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์กับบมจ.ไออาร์พีซี (IRPC)