นางกิ่งเทียน บางอ้อ กรรมการผู้จัดการ (รักษาการ) บง.กรุงเทพธนาทร(BFIT)กล่าวว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่บริษัทยังเชื่อว่าในปีนี้จะสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องจากปีก่อนได้ เนื่องจากความเข้มแข็งของบริษัทที่ปัจจุบันมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS Ratio)สูงถึง 24.9% ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(สเปรด)ก็ยังอยู่ระดับที่ยังแข่งขันได้
สำหรับสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ในปี 52 มองว่าอาจจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 51 ที่อยู่ที่ 7.79% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลให้ลูกค้ามีปัญหาในการผ่อนชำระ
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยจะเพิ่มความระมัดระวังและเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยจะพิจารณาในการปล่อยสินเชื่อโดยจะคำนึงจากกระแสเงินสด ขณะทื่บางรายที่ได้รับผลกระทบบริษัทก็ได้เข้าไปช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้ให้ ขณะที่บางรายก็เจรจาขอยืดผ่อนชำระ
ทั้งนี้ จากผลกระทบดังกล่าว ยอมรับว่าทำให้บริษัทมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารสูงที่จะเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเป็นพิเศษ โดยจะดูจากกระแสเงินสด(Cash Flow )เป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังมีฐานลูกค้ากลุ่มเรียลเอสเตท และไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
นอกจากนี้ ในการปล่อยสินเชื่อนั้น นโยบายของบริษัทจะปล่อยสินเชื่อให้โครงการที่มีขนาดไม่ใหญ่ และหากวงเงินสินเชื่อเกิน 150 ล้านบาทก็จะนำเรื่องเข้าบอร์ดเพื่อขออนุมัติ
นางกิ่งเทียน กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่แบงก์ชาติให้ บง.ที่เหลือรวมตัวกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่งก่อนที่จะแปรสภาพเป็นธนาคารพาณิชย์นั้น บริษัทจะต้องรอแผนแม่บทสถาบันการเงิน(มาสเตอร์แพลน)ฉบับที่ 2 ออกมาก่อนว่าจะมีรูปแบบอย่างไร รวมทั้งความเหมาะสมด้วย ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่ BFIT จะเปลี่ยนเป็นสถานะเป็นธนาคาร