(เพิ่มเติม) SCCคาดปี 52ยอดขายลด 20-25%ห่วงปิโตรฯขาลง H2/52,เดินหน้าซื้อกิจการเพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 29, 2009 16:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) กล่าวว่า บริษัทได้ตัดสินใจปรับลดประมาณการยอดขายในปี 52 มาเป็นลดลง 20-25% จากเดิมที่คาดว่าจะลดลงราว 10% หลังจากไตรมาส 1/52 เครือซิเมนต์ไทยมีรายได้รวมลดลงถึง 30% ซึ่งมองว่าผลประกอบการจะอยู่ในระดับนี้ต่อเนื่อง และอาจกลับมาดีอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/52

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังยืนยันว่าในปีนี้จะยังมีความสามารถในการทำกำไร เนื่องจากปัญหาการขาดทุนจากปัญหาสินค้าคงคลังหมดไปแล้ว ประกอบกับ บริษัทได้มีการลดต้นทุนการผลิตได้อย่างต่อเนื่องทั้งในธุรกิจเคมีภัณฑ์และธุรกิจกระดาษ โดยล่าสุดบริษัทเปิดโรงกระดาษใหม่ที่ขอนแก่น ซึ่งถือว่ามีต้นทุนต่ำที่สุดในภูมิภาค

"ปีนี้ธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจกระดาษยังเป็นตัวหลักที่ฉุดรายได้ของบริษัทให้ลดลง และทั้ง 2 ส่วนมีรายได้รวมกันกว่า 60% ของรายได้รวม ดังนั้นเราคงต้องประเมินตัวเลขการลดลงของรายได้เป็น 20-25% เพราะเราก็เริ่มเห็น trend ตั้งแต่ไตรมาส 1 แล้ว กว่าจะ pickup อีกครั้งคงเป็นช่วงไตรมาส 4" นายกานต์ กล่าว

ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับ ผลกระทบจากปัญหาการเมืองในประเทศ อีกทั้งการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จากเม็กซิโกอาจจะทำให้เศรษฐกิจโลกมีปัญหายืดเยื้อ แต่เบื้องต้นจากการที่รัฐบาลประเทศต่างๆ ได้มีมาตรการรับมือออกมาแล้ว จึงหวังว่าจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงในไตรมาส 4/52

เช่นเดียวกับธุรกิจเครือซิเมนต์ไทยที่หวังว่าไตรมาส 4/52 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวชัดเจน โดยเฉพาะจากการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นภาคการก่อสร้างทั้งหมด รวมทั้งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้มีการลงทุนและพัฒนาโครงการมากขึ้น น่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจซิเมนต์และวัสดุก่อสร้างของเครือด้วย

นายกานต์ กล่าวว่า ในปีนี้กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสูงที่สุด เพราะราคาลดลงจากปีก่อนมาก แต่จะไม่มีปัญหาขาดทุนสต็อก และปัจจุบันผลิตเต็มกำลัง 100% จากเดิม 80-90% ในช่วงไตรมาส 1/52

แม้ว่าราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในช่วงไตรมาส 1/52 จะเริ่มกลับมาดีขึ้นและน่าจะดีต่อเนื่องไปในไตรมาส 2/52 แต่ในช่วงครึ่งปีหลังยัวมีความเสี่ยงที่ราคาปิโตรเคมีจะเข้าสู่วัฎจักรขาลง เพราะกำลังการผลิตจากโรงงานปิโตรเคมีในตะวันออกกลางจะเริ่มเข้ามาในช่วงปลายปีนี้ หลังจากล่าช้าจากแผนเดิมที่คาดว่าจะเสร็จเมื่อต้นปี 52

ส่วนธุรกิจกระดาษยังประสบปัญหาต่อเนื่องจากราคาขายตกต่ำ ซึ่งคาดว่าในช่วงไตรมาส 2/52 น่าจะเป็นช่วงที่ราคาเข้าสู่จุดต่ำสุดและหลังจากนั้นจะเริ่มทรงตัว โดยบริษัทได้รับผลกระทบทั้งธุรกิจกระดาษกล่องและกระดาษขาวที่มีกำลังซื้อลดลง ทำให้มีการเดินเครื่องผลิตเพียง 75% จากปี 51 ใช้กำลังผลิตถึง 80%

ขณะที่ธุรกิจซิเมนต์ยังน่าจะทรงตัว เพราะราคาไม่ได้ปรับลดลง แต่ปริมาณการขายลดลงเล็กน้อย เนื่องจากตลาดส่งออกมียอดสั่งซื้อลดลง และในประเทศก็ชะลอตัว แต่บริษัทก็หวังว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดปูนซิเมนต์จะดีขึ้น เพราะรัฐบาลประเทศต่างๆ กระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น คาดว่าจะก่อให้เกิดการลงทุนมากขึ้น

ทางด้านธุรกิจวัสดุก่อสร้างปีนี้น่าจะเติบโตขึ้น หลังบริษัทได้รับรู้รายได้จาก"คอตโต้"เข้ามา ส่วนธุรกิจนำเข้าส่งออกน่าจะปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ เพราะความต้องการใช้ถ่านหินและเศษเหล็กปรับตัวลดลง

*ยืนยันความพร้อมขยายการลงทุน คาดเจรจาซื้อกิจการเห็นชัดเจนใน Q3

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีความพร้อมในการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยที่ผ่านมาได้มีการเจรจากับกิจการหลายบริษัทที่เสนอให้เครือซิเมนต์ไทยเข้าไปช่วยลงทุนหลังจากประสบวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการเข้าลงทุนประมาณปลายไตรมาส 3/52 ต้นไตรมาส 4/52

นายกานต์ ยังปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่าได้เข้าไปเจรจาเพื่อซื้อกิจการบางส่วนของกลุ่มดาวเคมิคอลในอาเซียนหรือไม่ โดยกล่าวว่า ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่หากการลงทุนใดที่ทำให้เกิดประโยชน์กับบริษัทและราคาเหมาะสม บริษัทก็พร้อมจะลงทุน โดยปัจจุบันมีกระแสเงินสดในมือประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาทพร้อมอยู่แล้ว

แต่บริษัทก็ยังมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ล็อตใหม่ เพื่อนำเม็ดเงินมาใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือน ต.ค.นี้ จำนวน 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งการออกหุ้นกู้จะอยู่ในช่วงไหนและจำนวนเท่าใดยังจะต้องพิจารณาอีกครั้ง เพราะส่วนใหญ่ที่ผ่านมาจะออกเกินจำนวนหุ้นกู้ที่ครบอายุทุกครั้ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ