"ทริส"เปลี่ยนแนวโน้มเครดิต ITD เป็น Negative จาก Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 30, 2009 13:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของ บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) เป็น “Negative" หรือ “ลบ" จาก “Stable" หรือ “คงที่" ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทในระยะสั้นถึงระยะกลาง ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทคงเดิมที่ระดับ “BBB+"

โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ตลอดจนการมีงานที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมาก ความสามารถในการก่อสร้างงานหลากหลายประเภททั้งในประเทศและต่างประเทศ ผลงานที่ได้รับการยอมรับ และความชำนาญในการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่และซับซ้อน ในการให้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความเสี่ยงของงานก่อสร้างในประเทศที่โดยทั่วไปเป็นสัญญาแบบคงที่ (Fixed-price Contract) รวมทั้งลักษณะของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีความผันผวน การแข่งขันที่รุนแรง และภาระหนี้ของบริษัทที่เพิ่มขึ้นด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางการเงินที่ลดลงของบริษัทในระยะสั้นถึงปานกลางจากการอ่อนแอลงของโครงสร้างเงินทุน ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2551 บริษัทมีเงินสดจำนวน 4,048 ล้านบาท โดยมีภาระหนี้ที่ต้องชำระภายในระยะ 12 เดือนประมาณ 11,331 ล้านบาท แม้จะคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2552 จะปรับตัวดีขึ้น แต่การมีภาระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยจ่ายที่สูงก็ยังคงส่งผลกระทบต่อความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทในระยะใกล้ ปัจจุบันบริษัทได้เจรจากับธนาคารหลักที่บริษัทกู้ยืมเพื่อปรับตารางการชำระหนี้เงินกู้ระยะยาวในโครงการที่ยังไม่เริ่มดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการขายเงินลงทุน ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทยังไม่ปรับตัวดีขึ้นและภาระหนี้ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูง

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์มีผลขาดทุนจำนวน 2,656 ล้านบาทในปี 2551 ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ระดับ 1.9% จาก 8.5% ในปี 2550 อันเนื่องมาจากการขาดทุนอย่างมากของโครงการก่อสร้างในต่างประเทศโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างเขื่อนพลังน้ำน้ำเทิน 2 ในประเทศลาวและงานโครงสร้างเหล็ก รวมทั้งการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำยังเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มสูงขึ้นจากการสำรองเผื่อความเสียหายของบริษัทย่อยและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เกิดจากบริษัทย่อยที่จัดตั้งใหม่หรือเพิ่งเริ่มดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ผลขาดทุนดังกล่าวเป็นเหตุที่เกิดเพียงครั้งเดียวซึ่งไม่น่าส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัทในอนาคต ดังจะเห็นได้จากการที่อัตรากำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 8.13% จาก -11.65% ในไตรมาสที่ 3 ในปีเดียวกัน โดยผลขาดทุนทำให้บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงและภาระหนี้ทางการเงินเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ภาระหนี้ของบริษัทถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับอันดับเครดิตในระดับปัจจุบัน ซึ่งภาระหนี้ที่สูงดังกล่าวเป็นผลมาจากการลงทุนโดยการกู้ในอดีตและการลดลงของส่วนของผู้ถือหุ้นจากการขาดทุนจากการก่อสร้าง ภาระหนี้ของบริษัท (รวมถึงภาระผูกพันที่จะต้องให้เงินกู้ยืมแก่นิติบุคคลเฉพาะกิจ) เพิ่มขึ้นจาก 17,792 ล้านบาทในปี 2550 มาอยู่ที่ 25,118 ล้านบาทในปี 2551 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอ่อนแอลงจาก 51.4% ในปี 2550 มาอยู่ที่ 66.4% ในปี 2551 การมีภาระหนี้ค่อนข้างสูงมีผลทำให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดอกเบี้ยที่ลดลงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ส่วนใหญ่ของบริษัทผูกอยู่กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ (MLR) ซึ่งลดลงจากอัตราเฉลี่ยที่ 7.06% ในปี 2551 มาอยู่ที่ 6.25% ณ เดือนมีนาคม 2552 บริษัทยังมีแผนในการลดภาระเงินกู้โดยการขายเงินลงทุนใน Nam Theun 2 Power Co., Ltd. (NTPC) ออกไป อย่างไรก็ตาม คาดว่าธุรกรรมดังกล่าวจะดำเนินการเสร็จสิ้นในไตรมาสแรกของปี 2553 เนื่องจากมีข้อจำกัดจากสัญญาของผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้รับเงินสดระหว่าง 4,200 ล้านบาท ถึง 6,000 ล้านบาทจากการขายโดยขึ้นอยู่กับการประเมินมูลค่าโครงการ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ