ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดแกว่งตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (30 เม.ย.) โดยแรงบวกในช่วงเช้าถูกกดดันจากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อภาคอุตสาหกรรมสหรัฐ ภายหลังการตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการล้มละลายของไครสเลอร์ แอลแอลซี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดขยับลง 17.61 จุด หรือ 0.22% แตะที่ 8,168.12 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 0.83 จุด หรือ 0.09% แตะที่ 872.81 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 5.36 จุด หรือ 0.31% แตะที่ 1,717.30 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.74 พันล้านหุ้น
ในช่วงเช้าดาวโจนส์เคลื่อนไหวในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการคนว่างงานลดลง 14,000 เหลือ 631,000 รายในสัปดาห์ก่อน สวนทางกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากการรายงานผลประกอบการของหลายบริษัทที่ดีเหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ ซึ่งรวมถึง ดาว เคมิคอล ขณะที่โมโตโรล่า อิงค์ แม้จะขาดทุนในไตรมาสแรก แต่ก็เป็นจำนวนที่น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
อย่างไรก็ตาม ดัชนีแกว่งตัวลดลงในช่วงบ่าย หลังจากที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาออกมาแถลงยืนยันในตอนเที่ยงว่า ไครสเลอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐ ตัดสินใจยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์จากการล้มละลายต่อศาลภายใต้กฎหมายล้มละลายมาตรา 11 (Chapter 11) เพื่อเปิดทางให้มีการปรับโครงสร้างบริษัท ซึ่งรวมถึงการจับมือเป็นพันธมิตรกับ เฟียต กรุ๊ป เอสพีเอ ค่ายรถจากอิตาลี
ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้รายงานว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคลดลง 0.2% ในเดือนมี.ค. ซึ่งแย่กว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ประเมินไว้ว่าจะลดลงแค่ 0.1%
สำหรับหุ้นที่ดิ่งลงหนักสุดในการซื้อขายวันพฤหัสบดีได้แก่ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นกู้ของไครสเลอร์ และ เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ป (จีเอ็ม) ค่ายรถยักษ์ใหญ่ที่กำลังดิ้นรนเอาตัวรอด
นอกจากนี้หุ้นเอ็กซอน โมบิล ก็ปิดร่วงลงเช่นกัน หลังบริษัทน้ำมันรายใหญ่รายงานผลกำไรไตรมาสแรกทรุดลงถึง 58% จากปีก่อน แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าห้าปี