ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนนี้ (1 พ.ค.) ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่คึกคักของนักลงทุนจนส่งผลให้ตลาดปิดเคลื่อนไหวในแดนบวกได้ต่อเนื่องจากที่เคยพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนมี.ค.และเม.ย.ที่ผ่านมา
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 44.29 จุด หรือ 0.5% แตะที่ 8,212.41 จุด ส่วนดัชนี S&P 500 ปิดบวก 4.71 จุด หรือ 0.5% แตะที่ 877.52 จุด และดัชนี Nasdaq เดินหน้าขึ้น 1.90 จุด หรือ 0.1% แตะที่ 1,719.20 จุด
ตลาดปิดเคลื่อนไหวในแดนบวกท่ามกลางการแกว่งตัวที่ผันผวนของดัชนี เนื่องจากนักลงทุนส่งแรงซื้อและขายเข้าสลับเข้ามาในระหว่างวัน จากปัจจัยหนุนของข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการและการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทเอกชน ซึ่งได้ผลักดันให้ดัชนีเดินหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่องจากที่เคยพุ่งแข็งแกร่งในเดือนมี.ค. และเดือนเม.ย.จนทำสถิติการซื้อขายที่ดีที่สุดในรอบ 9 ปี
นักลงทุนในวอลล์สตรีทเริ่มมีมุมมองในแง่บวกต่อสภาพเศรษฐกิจว่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ว่ารายงานเมื่อวานนี้จะยังย้ำเตือนให้นักลงทุนตระหนักว่าปัจจัยทางภาวะเศรษฐกิจยังไม่ดีนัก ซึ่งจะยังทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ
โดยสหรัฐได้ดัชนีภาคอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐบ่งชี้ถึงภาวะทรุดตัวในเดือนเม.ย.ที่ดีกว่าในเดือนมี.ค. แต่ยอดสั่งซื้อสินค้าภาคโรงงานยังดิ่งหนักกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนมี.ค.
ขณะเดียวกันบริษัทเอกชนหลายแห่งรายงานผลประกอบการที่ดีและเลวร้ายแตกต่างกันไป โดยมาสเตอร์การ์ด อิงค์ เผยรายได้ไตรมาสแรกที่ลดลงหลังบริษัทคาดการณ์ว่ารายได้อาจซบเซาท่ามกลางความวิตกกังวลว่า กว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้อย่างมีเสถียรภาพนั้นจะยังต้องอาศัยเวลาอีกนาน
สำหรับบริษัทประกันรายใหญ่สองแห่งของสหรัฐอย่างฮาร์ทฟอร์ด ไฟแนนเชียล เซอร์วิส กรุ๊ปและเมทไลฟ์ อิงค์ ต่างเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาสแรก โดยก่อนหน้านี้ การรายงานผลประกอบการภาคเอกชนที่สดใสเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ฌอน ซิมโค นักวิเคราะห์จากเอสอีไอ อินเวสเม้นท์ ในฟิลาเดเฟียกล่าวว่า "หลังจากที่นักลงทุนส่งแรงซื้อเข้ามาอย่างมากในระยะนี้และเริ่มมีการปรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นช่วงเดือนหน้า ตลาดอาจเริ่มอิ่มตัวและอาจต้องมีการปรับฐานในช่วงเวลาดังกล่าว"
ทั้งนี้ หุ้นมาสเตอร์การ์ดปิดลบ 5.8% ส่วนหุ้นฮาร์ทฟอร์ดดิ่ง 7.9% เช่นเดียวกับหุ้นเมทไลฟ์ที่ตกลง 7.7%
ขณะเดียวกัน หุ้นฟอร์ดมอเตอร์ร่วงลง 4.9% หลังยอดขายยานยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็กในเดือนเม.ย.ตกลง 32% เมื่อเทียบกับปีก่อน