SSI คาด Q2/52 ขาดทุนลดลงจาก Q1/52, เริ่มพลิกมีกำไรใน Q3/52

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 4, 2009 10:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี(SSI)คาดไตรมาส 2/52 ยังขาดทุนต่อเนื่องแต่ลดลงจากไตรมาส 1/52 ที่มีผลขาดทุน 1.88 พันล้านบาท เชื่อไม่มีการขาดทุนสต็อกสินค้าคงคลังอีกแล้ว หลังจากตัดขาดทุนสต็อก 800 ล้านบาทในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา และมั่นใจจะพลิกมีกำไรได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/52 หลังเห็นสัญญาณตลาดผู้ซื้อฟื้นกลับมา อีกทั้งราคาวัตถุดิบต่ำ ส่วนการลงทุนที่ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากต้องชะลอออกไปก่อน

"ตอนนี้ราคาเหล็กทรงตัว หวังว่าน่าจะจบในไตรมาส 2 แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าจะ bottom อีกหรือไม่ แต่ถ้าจะลงก็คงไม่ลงแรง วันนี้โอกาสทำกำไรก็มี มาร์จิ้นดีขึ้น ไตรมาส 2 เราไม่มีขาดทุนสต็อกสินค้า แต่จะทำกำไรได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่คิดว่าขาดทุนลดลง ซึ่งในไตรมาส 1 ขาดทุนสต็อกน่าจะหมดแล้ว...เชื่อว่าไตรมาส 3 จากนั้นจะเป็นบวก เป็นกำไรได้ แนวโน้มดีมากๆเพราะความเสี่ยงต่ำ ต้นทุนวัตถุดิบต่ำ"นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SSI กล่าว

ราคาเหล็กในปัจจุบันไหลลงไปต่อจากช่วงสิ้นปี 51 มาที่ 470 เหรียญ/ตัน ณ สิ้นมี.ค.52 จากเมื่อปี 51 ราคาอยู่ที่ 540 เหรียญ/ตัน เนื่องมาจากความต้องการของตลาดลดลงต่อเนื่องจากผลกระทบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ขณะที่อีกด้านหหนึ่ง บริษัทได้มาร์จิ้นมากขึ้นจากราคาวัตถุดิบปรับตัวลง โดยราคาแม่เหล็ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักครึ่งหนึ่งในการผลิตเหล็กแท่งก็ปรับตัวลง 40% โดยระหว่างนี้ผู้ผลิตเจรจาต่อรองกันอยู่ หากรู้ผลจะรู้ต้นทุนการผลิตใน 12 เดือนข้างหน้า

นายวิน ยังกล่าวว่า จากราคาเหล็กปีนี้อ่อนตัวลงมากทำให้บริษัทเพิ่มการผลิต เป็น 1.5 ล้านตัน จาก 1 ล้านตันในปีก่อน หรือเพิ่มขึ้น 50% เพื่อรักษารายได้ของปี 52 ใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่มี 2.7 หมื่นล้านบาท พร้อมกันนั้น จะขยายตลาดใหม่มากขึ้น และแย่งส่วนแบ่งตลาดเดิมให้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งตลาดจีนซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ ก็เริ่มมีสัญญาณกลับมาซื้อในไตรมาส 3/52 โดยเฉพาะจีนได้ลดกำลังการผลิตจากเดิมผลิต 5 ล้านตัน/เดือน เหลือเดือนละ 1.5-1.6 ล้านตัน

"ถ้ามีของใหม่เข้ามาไตรมาส 3 ชัวร์ มาร์จิ้นเราดีแน่ ประมาณ 7% ส่วนตัวมองว่าเหล็กจะฟื้นตัวหลังเดือนเม.ย.หรือช้ากว่ากลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มน้ำมัน ประมาณ 1 ไตรมาส"นายวิน กล่าว

แม้ว่าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนของบริษัทที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตรถยนต์จะได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่คาดว่ายอดผลิตในประเทศจะตกลงไปราว 35% เหลือประมาณ 9.5 แสนคัน จาก 1.4 ล้านคันในปีก่อน แต่เทียบกับเมื่อปี 45 ยอดผลิตรถยนต์มีจำนวน 7 แสนคัน ซึ่งบรรยากาศธุรกิจการลงทุนคล้ายกับตอนนี้ ก็เชื่อว่าปีนี้บริษัทจะผ่านพ้นวิกฤติได้ตามวัฎจักรธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ชณะนี้บริษัทใช้กำลังการผลิตเพียง 30%

สำหรับงบลงทุนบริษัทในปีนี้คาดใช้กว่า 100 ล้านบาทจากปกติจะใช้ประมาณ 300-400 ล้านบาท โดยชะลอการใช้เงินลงทุนในโครงการที่ใช้เม็ดเงินจำนวนมากและยังรอได้ เช่น โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ก็จะเหลือใช้ในการปรับปรุงซ่อมเครื่องจักร และ การวิจัยและพัฒนาเพื่อช่วยพัฒนาสินค้าในอนาคต

*เลื่อนสร้างโรงถลุงเหล็กไม่มีกำหนด หันเดินหน้าหาโอกาสในเวียดนาม

นายวิน กล่าวว่า โครงการโรงถลุงเหล็กในประเทศยังไม่มีความคืบหน้า เพราะยังอยู่ขั้นตอนการตรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)และโครงการนี้ไม่ได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน(BOI) บริษัทจึงคิดว่าจะพับแผนการลงทุนนี้ไปก่อนโดยไม่มีกำหนด โดยปัจจัยสำคัญมาจากรัฐบาลที่ไม่มีนโยบายชัดเจนที่จะสนับสนุนโครงการดังกล่าว ทั้งที่เป็นโครงการต้นน้ำ สร้างงานและพัฒนาประเทศได้

"ผมยอมรับว่าปัญหาการเมืองกระทบกับการเดินหน้าต่อของโครงการเรามาก พอรัฐบาลมีปัญหาการเมืองหนัก ก็ไม่มีเวลามาดูแลโครงการผลิต การลงทุนของเราเกือบ 1 แสนล้านบาทเป็นโครงการขนาดใหญ่ แต่วันนี้ไม่มีความชัดเจน ถ้าการเมืองยังเป็นอย่างนี้ เราก็คงจะไม่ทำอะไรต่อ"นายวิน กล่าว

อย่างไรก็ดี บริษัทได้ไปศึกษาการลงทุนโรงถลุงเหล็กในเวียดนามเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่เติบโตเร็ว โดยคาดว่าปีนี้เวียดนามมีความต้องการใช้เหล็ก เพิ่มเป็น 10 ล้านตันต่อปี จาก 7 ล้านตันในปี 51 ขณะที่ไทยมีความต้องการลดลงเหลือ 10 ล้านตันต่อในปี 52 จากปีก่อน 12 ล้านตัน

ทั้งนี้ เครือสหวิริยาซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SSI 25% เป็นผู้ดำเนิน โครงการโรงถลุงเหล็ก ตั้งอยู่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีมูลค่าโครงการประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งในระยะแรกมีขนาด 5 ล้านตัน/ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ