(เพิ่มเติม) TUFมีแผนลงทุน 20 ล้านเหรียญฯตั้งรง.ใหม่ในสหรัฐ/คาดปี 52กำไรโตตามรายได้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 6, 2009 11:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์(TUF) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนโรงงานทูน่าแห่งใหม่ที่รัฐจอร์เจีย ที่สหรัฐ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 20 ล้านเหรียญ โดยเงินลงทุนมาจากกระแสเงินสดของบริษัท โรงงานนี้จะเริ่มผลิต 1 ต.ค.นี้ มีกำลังการผลิต 4 ล้านหีบต่อปี

และ บริษัทมีแผนลงทุนห้องเย็นขนาด 2 หมื่นตัน มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งปีนี้จะลงทุน 200 ล้านบาทก่อน โดยจะมีแนวทางที่จะซื้อที่ดินใหม่ หรือใข้แนวทางเข้าซื้อห้องเย็นเก่า คาดว่าโครงการนี้จะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 4 /53

ขณะที่งบลงทุนประจำปี บริษัทจะใช้เม็ดเงินประมาณ 1.2 พันล้านบาทในการเพิ่มกำลังการผลิตปรับปรุงสายการผลิต และเพิ่มสินค้าใหม่

"ปีนี้เราลงทุนนอกเหนือจากงบประจำปี ที่ลงทุน 1.2 พันล้านบาท การลงทุนจอร์เจียและลงทุนห้องเย็นในประเทศถือว่าเป็นการลงทุนนอกเหนือจากการลงทุนปกติประจำปี ซึ่งมองว่าจะช่วยลดต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายในอนาคต"นายธีระพงศ์ กล่าว

ขณะเดียวกันมีแผนปิดโรงงานที่ประเทศซามัวร์ ทำให้รายจ่ายพนักงานลดลงไป 2 พันคน มีผลทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทลดลงและเพิ่มขีดความสามารถบริษัทได้มากขึ้นที่ผลิตได้ 6 ล้านหีบต่อปี

*คาดกำไรปี 52 โตตามยอดขาย

ส่วนผลประกอบการทั้งปี 52 นายธีรพงศ์ คาดว่า ยอดขายในรูปเงินดอลลาร์จะเติบโตกว่า 10% แม้ว่าไตรมาส 1/52 จะเติบโตเพียง 4.4% แต่เชื่อว่าทั้งปีจะทำได้ตามเป้า ส่วนยอดขายในรูปเงินบาทตั้งเป้าเติบโต 15% โดยเชื่อมั่นว่าการเติบโตจะดีขึ้นใน 3 ไตรมาสที่เหลือ เพราะบริษัทมีฐานการตลาดที่แข็งแกร่ง และมีการพัฒนาผลิตภัณฑฺ์ใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม

และในระยะสั้นยอดขายของบริษัทจะได้รับปัจจัยบวกจากการระบาดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เนื่องจากยอดขายอาหารทะเลและไก่น่าจะเติบโตขึ้น ขณะที่บริษัทคาดว่าไตรมาส 4/52 เศรษฐกิจโลกน่าจะกลับมาดีขึ้นด้วย

ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้น่าจะเติบโตได้ในทิศทางเดียวกับยอดขาย โดยในไตรมาส 1/52 กำไรเติบโต 13% จากไตรมาส 1/51 ซึ่งทั้งปีก็คาดว่าจะเติบโตอัตราเดียวกับยอดขาย

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ทางมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นพันธมิตรจากญี่ปุ่น ได้เข้าซื้อหุ้น TUF ผ่านตลาดหลักทรัพย์เพิ่มเป็นกว่า 5% จากเดิมถือประมาณ 3% ถือเป็นเรื่องดี แสดงถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่เห็นว่าบริษัทมีการเติบโตที่ดีและต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติอยู่ที่ 30% จากเพดาน 45% ก็ยังมีโอกาสที่นักลงุทนต่างชาติจะเข้าถือเพิ่ม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ