นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย)(SYNEX) คาดว่า กำไรของบริษัทในปี 52 คงจะไม่ลดลงจากปีก่อนมากเท่าที่เคยคาดไว้ช่วงต้นปีว่าจะลดลง 20% จากปี 51 ที่มีกำไร 123 ล้านบาท เนื่องจากแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวมาก แต่บริษัทเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในไตรมาส 2/52 จากคำสั่งสินค้าที่เข้ามา
รวมถึง บริษัทมีแผนการลดค่าใช้จ่ายลดลงเหลือ 3% จากปีก่อนที่อยู่ในระดับกว่า 4% โดยมาจากการบริหารจัดการระบบ ขณะที่ในด้านการตลาดก็มีขยายวงเงินให้กับลูกค้าในการสั่งซื้อของ แม้จะทำให้หนี้เสียปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็จะเป็นวิธีที่จะสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดได้ดีภายใต้สภานการณ์ปัจจบัน
นายสุพันธุ์ กล่าวว่า จากการปรับกลยุทธ์ดังกล่าว น่าจะทำให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ให้อยู่ในระดับอย่างน้อยที่ 5% ใกล้เคียงปีก่อน โดยขณะนี้บริษัทมีหนี้เสียประมาณ 0.10% แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่จะไม่กระทบฐานะการเงินของบริษัท และบริษัทก็มีสภาพคล่องค่อนข้างแข็งแกร่ง
ในด้านรายได้ในปีนี้ยังคงเป้าหมายเติบโต 5% หรือเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 หมื่นล้านบาท จาก 1.26 หมื่นล้านบาทในปีก่อน รายได้ที่โตในปีนี้ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด โดยบริษัทอื่นที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และส่งผลให้ลูกค้ารายเดิมหันมาสั่งซื้อสินค้ามากขึ้นกับบริษัทมากขึ้น
"สภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้เราคงจะต้องพยายามในการรักษามาร์เก็ตแชร์ในต่างจังหวัดให้ได้ ขณะที่มาร์เก็ตแชร์ในกรุงเทพจะต้องเพิ่มให้มาก ยอมรับว่าภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ การแย่งแชร์คงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้โตได้ เพราะธุรกิจภาพรวมไอทีปีนี้ ไม่โตหรืออาจจะติดลบด้วยซ้ำ หรือประมาณ 0 ถึงติดลบ 5%"นายสุพันธุ์ กล่าว
นายสุพันธุ์ กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากการลดต้นทุน บริษัทบริหารด้วยการร่นระยะเวลาสินคลังให้เหลือ 25-27 วัน จากเดิม 30 วันขึ้นไป เพื่อเพิ่มกระแสเงินสดให้บริษัท ซึ่งปัจจุบันมีเงินสดในมือ 100-200 ล้านบาท
นอกจากนี้ จากที่มติคณะรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจหันมาใช้สินค้าในประเทศ มาตรการนี้ทำให้บริษัทได้รับผลดี โดยหวังว่าสัดส่วน local brand เพิ่มเป็น 3% จาก 23%ในขณะนี้ และคู่แข่งในประเทศก็มีไม่มาก
ส่วนร้าน CNEX Shop ในปีนี้จะเพิ่มเป็น 20 สาขาจาก 10 สาขาในปัจจุบัน ทำให้ลูกค้ามีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ลูกค้าของบริษัทจะเป็นผู้ลงทุนเอง
นายสุพันธ์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมพิจารณาซื้อหุ้นคืนเพิ่มเติม จากก่อนนี้ซื้อแล้ว 8 ล้านหุ้นจากทั้งหมด 71.25 ล้านหุ้น ซึ่งก็ต้องรู้จังหวะ แต่การซื้อหุ้นคืนดังกล่าวไม่ได้ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทปรับขึ้นมากนัก ส่วนอนาคตถ้าจะขายออกไป ก็จะขายออกยกลิอต