บล.เอเซีย พลัส ประเมินหุ้นน้ำมันว่า ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบขยับขึ้นไปสู่ระดับ 55 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งไปแตะระดับเดิมที่เคยทำไว้ในต้นเดือน พ.ย.2551 ซึ่งหากราคาน้ำมันยังคงยืนที่ 55 เหรียญฯ ต่อไปคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบทั้งปี 2552 จะเฉลี่ยที่ 51.94 เหรียญฯ ซึ่งสูงกว่าประมาณการของ ASP ที่กำหนดไว้ที่ 50 เหรียญฯ และจะทำให้ Fair Value ของ PTTEP ขยับขึ้นจากเดิม 112.72 บาท เป็น 115.95 บาท
หรืออาจจะกล่าวได้ว่าทุก ๆ 5 เหรียญฯ ที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นจะมีผลทำให้ Fair Value ของ PTTEP เพิ่มขึ้นกว่า 3% จึงแนะนำให้ซื้อเก็งกำไรหุ้น PTTEP ภายใต้สมมติฐานว่าราคาน้ำมันยังปรับเพิ่มขึ้นต่อไป
ส่วนหุ้น PTT ณ ราคาตลาดในปัจจุบันถือว่าได้สะท้อนราคาน้ำมันดิบที่ 80 เหรียญฯ แล้วราคาหุ้นจึงเต็มมูลค่าในช่วงสั้น แนะนำให้ขายทำกำไรระยะสั้น
ด้าน บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ปรับลดคำแนะนำจาก"ซื้อลงทุน"เป็น"ซื้อเมื่ออ่อนตัว"สำหรับ PTT เนื่องจากการปรับราคาที่เหมาะสมของหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นทั้ง TOP,PTTAR และ BCP ขึ้นเป็น 36 บาท,16 บาทและ 15.90 บาทและปรับลดราคาที่เหมาะสมของ PTTCH ลงเป็น 32 บาท ทำให้ราคาที่เหมาะสมของ PTT ตามวิธี sum-of-the-part ปรับเพิ่มขึ้นจาก 203 บาท เป็น 232 บาท
ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ PER 9.5 เท่า,อัตราเงินปันผลตอบแทน 3.8% และมี upside อยู่ 9% จากราคาที่เหมาะสมใหม่ จากผลกำไรไตรมาสแรกที่ยังคงไม่ดีนักบวกกับราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาแรงถึง 40% ใน 1 เดือนและผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา หุ้นที่เหลือไม่มากนัก
ขณะที่ สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ระบุว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในระยะสั้นจากการคาดหวังการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจทำให้ยังคงคำแนะนำ“เก็งกำไร"สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมันต้นน้ำ โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมของ PTTEP ด้วยวิธี PER ที่ 14 เท่าของปี 52 ไว้ที่ 102 บาท ขณะที่ หากอิง DCF ซึ่งใช้พิจารณาในการลงทุนระยะยาวอยู่ที่ 148 บาท
สำหรับ PTT ราคาเหมาะสมตามวิธี Sum of the Part อยู่ที่ 171 บาท และเมื่อรวมการลงทุนในธุรกิจถ่านหินอยู่ที่ 173-193 บาท โดยหากปรับมูลค่าเหมาะสมของ PTTEP เป็น 148 บาท จะสะท้อนไปที่มูลค่าเหมาะสมของ PTT ตาม Sum of the Part เป็น 206 บาท และเมื่อรวมการลงทุนในธุรกิจถ่านหินอยู่ที่ 209-229 บาท ทั้งนี้ เห็นว่าควรใช้ DCF ในการพิจารณาเป็นกรอบราคาสูงสุดในการเก็งกำไร