โบรกฯระบุดัชนี 530 ลงทุนได้คาดฟื้นชัด Q4/52 แนะหุ้นสื่อสาร-อาหาร-ค้าปลีก

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 7, 2009 17:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.ธนชาต กล่าวในงานสัมนาหัวข้อ"วิเคราะห์ เจาะหุ้นเด่น"ว่า ดัชนีหุ้นไทยในระดับ 530 จุดเป็นจังหวะที่สามารถลงทุนได้ เพราะคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในไตรมาสที่ 4/52 ขณะที่การปรับตัวขึ้นมาของดัชนีในระยะนี้น่าจะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นมาในช่วงสั้น ๆ และยังมีความผันผวน เพราะยังมีปัจจัยลบกดดันอยู่

กลุ่มหลักทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มอาหาร สื่อสาร เช่น CPALL, TUF, BEC ขณะที่กลุ่มพลังงานสามารถเลือกลงทุน เพราะแม้ราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นแล้วเฉลี่ย 40% แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาค ส่วนกลุ่มสื่อสารภายใต้ที่ 3G ที่จะเกิดขึ้น แต่หากไม่เกิดเงินปันผลในกลุ่มนี้ก็ยังอยู่ในระดับอัตราที่สูงและสม่ำเสมอ เช่น ADVANC

นายพิชัย กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังคงมีความผันผวนแม้ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะน่าจะเป็นการปรับตัวในระยะสั้นมากกว่า เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจชะลอตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ไม่มีปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาวที่แท้จริง

แต่ก็มองว่าตลาดหุ้นในไตรมาส 4/52 น่าจะฟื้นตัวได้ระดับหนึ่งจากความคลายตัวของปัญหาเศรษฐกิจโลก ดังนั้นทางฝ่ายวิจัยจึงมองว่าดัชนีจะปรับตัวไม่เกิน 600 จุด

ภายใต้ปัจจัยดังกล่าวการลงทุนจะต้องพิจารณา 3 ปัจจัยสำคัญ คือ จะต้องเป็นธุรกิจที่ผูกขาดหรือเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยเพราะจะทำให้อัตราทำกำไรจะอยู่ในระดับสูง เป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต โดยเฉพาะการเติบโตกว่าค่าเฉลี่ยหรือดีกว่าเศรษฐกิจและแนวคิดของผู้บริหารบริษัทในการปรับหรือการวางแผนการดำเนินธุรกิจ ซึ่งถือว่าจะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำแต่จะให้ผลตอบแทนสูง

"อยากให้พิจารณาดีๆ ก่อนที่จะลงทุนเพราะเชื่อว่าจะเห็นการปรับฐานลงบ้างจากความผันผวนในตอนนี้ แต่การที่จะดูว่าดัชนียังไต่ในระดับที่สูงหรือไม่ควรที่จะดูจากมูลค่าการซื้อขายด้วย ซึ่งหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นและมูลค่าการซื้อขายปรับตัวเพิ่มขึ้น ดัชนีก็มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่หากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่มูลค่าการซื้อขายปรับตัวลดลงนั้นหมายถึงสัญญาณการปรับฐานของดัชนี หรือดูที่กลุ่มนำตลาดหากนิ่ง ก็แสดงว่าปรับฐานแล้ว" นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้ทำวิจัยรวมกับบีเอ็นพี พารีบาส์ และได้มีการอัพเกรดประมาณการของกำไรในแถบภูมิภาคบ้างโดยเฉพาะประเทศไต้หวัน อิโดนีเซีย ที่ปรับตัวดีขึ้นแต่ในส่วนของประเทศไทยยังไม่มีการอัพเกรดเพิ่มขึ้นเพราะประเทศไทยยังขาดปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะกลาง-ยาว

ด้านนางสาววราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ซีมิโก้ (ZMICO) กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นควรที่จะพิจารณาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมากกว่ากำไรของบริษัท เพราะเป็นเม็ดเงินที่แท้จริง และบอกถึงสถานภาพของสภาพคล่องของธุรกิจในอนาคต

การลงทุนในช่วงนี้ควรที่จะเลือกลงทุนในธุรกิจสื่อสาร กลุ่มโรงไฟฟ้า บริการน้ำและอาหาร เช่น ADVANC ที่มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลชัดเจน 6.3 บาทต่อปี ประกอบกับปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าจะได้รับปัจจัยบวกจากการเปิดให้บริการ 3G ที่อาจจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น

"ดัชนีหลังจากนี้คงจะเห็นการผันผวนแต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะการฟื้นตัวของตลาดหุ้นยังคงขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นหลักแม้ช่วงนี้สัญญานจะดีขึ้น ส่วนบรรยากาศในประเทศคงขึ้นอยู่กับการอัดฉีดเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอาจจะทำให้เกิดดีมานด์ในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตามจากการที่ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นอาจจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาเป็นระยะควรที่จะระวัง" นางสาววราภรณ์ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ