ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มการเงิน หลังจากมีข่าวว่าธนาคารหลายแห่งในสหรัฐนำหุ้นล็อตใหม่ออกจำหน่ายเพื่อระดมทุนมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่ามูลค่าหุ้นในกลุ่มการเงินอาจปรับตัวลดลง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วง 155.88 จุด หรือ 1.82% แตะที่ 8,418.77 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 19.99 จุด หรือ 2.15% แตะที่ 909.24 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 7.76 จุด หรือ 0.45% แตะที่ 1,731.24 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.49 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.51 พันล้านหุ้น
หุ้นกลุ่มการเงินถูกเทขายหนักสุดหลังจากมีรายงานว่าธนาคารหลายแห่งในสหรัฐนำหุ้นล็อตใหม่ออกจำหน่ายเพื่อระดมทุนมากขึ้น ส่งผลให้ดัชนี KBW หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง 7.1% โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส ร่วง 8% และหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ปร่วง 8.7% หุ้นซิตี้กรุ๊ปลดลง 4% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โกร่วงเกือบ 6%
หุ้นกลุ่มการเงินได้รับแรงกดดันนับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยผลทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของ 19 สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่างเป็นทางการ โดยระบุว่าในจำนวนธนาคารทั้ง 19 แห่งที่เข้ารับการทดสอบครั้งนี้ มีธนาคาร 10 แห่งที่ต้องระดมทุนเพิ่มเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 7.46 หมื่นล้านดอลลาร์
รายงานระบุว่าธนาคารแบงก์ ออฟ อเมริกา จำเป็นต้องเพิ่มทุนมากที่สุดที่ระดับ 3.39 หมื่น ล้านดอลลาร์ ธนาคารเวลส์ ฟาร์โกต้องเพิ่มทุน 1.37 หมื่นล้านดอลลาร์ บริษัท GMAC ต้องเพิ่มทุน 1.15 หมื่นล้านดอลลาร์ ซิตีกรุ๊ป อิงก์ ต้องเพิ่มทุน 5.5 พันล้านดอลลาร์ และมอร์แกน สแตนลีย์ ต้องเพิ่มทุน 1.8 พันล้านดอลลาร์
ส่วนธนาคารอีก 5 แห่งที่ต้องเพิ่มทุนได้แก่ รีเจียนส์ ไฟแนนเชียล เพิ่มทุน 2.5 พันล้านดอลลาร์ ซันทรัสต์ แบงค์ 2.2 พันล้านดอลลาร์ คีย์คอร์ป 1.8 พันล้านดอลลาร์ ฟิทธ์ เธิร์ด แบงคอร์ป 1.1 พันล้านดอลลาร์ และพีเอ็นซี ไฟแนนเชียล 600 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ผลการทดสอบ stess test สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตการณ์ในภาคการธนาคารของสหรัฐยังไม่จบสิ้นลง แม้นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐเปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 19 รายใหญ่ของสหรัฐ ไม่มีรายได้ที่อยู่ในสภาพล้มละลายก็ตาม หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นหลังจากซีอีโอของบริษัท SAP ซึ่งเป็นบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ของเยอรมนีกล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทอาจฟื้นตัวขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่หุ้นกลุ่มผลิตซอฟท์แวร์รายใหญ่รวมถึง ออราเคิล คอร์ป ปรับตัวขึ้น และดัชนี Nasdaq ปิดตลาดลดลงเพียงเล็กน้อย
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยหุ้นเชฟรอนร่วง 3.4% และหุ้นเอ็กซอนลบ 1.6%