นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 1/2552 สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีของธุรกิจหลัก โดยบริษัทบันทึกกำไรสุทธิจำนวน 4,798 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 131 จากปีก่อนหน้า เนื่องจากราคาขายถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้น และเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมากำไรสุทธิได้ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 175 เป็นผลจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจไฟฟ้า
รายได้จากธุรกิจถ่านหินจำนวน 12,343 ล้านบาท เป็นผลจากปริมาณจำหน่ายถ่านหินที่ 4.08 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 10 จากปีก่อนหน้าและร้อยละ 17 จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีราคาขายถ่านหินเฉลี่ย 84.23 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน สูงขึ้นร้อยละ 71 จากปีก่อนหน้าในขณะที่ลดลงร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อนหน้า
ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยที่ปรับสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าจึงช่วยชดเชยปริมาณจำหน่ายที่ลดลงอันเป็นผลจากการปิดซ่อมบำรุงท่าเรือบอนตังตามกำหนดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์และการผลิตที่ลดลงของเหมืองอินโดมิงโกและโจ-ร่ง อีกทั้งปริมาณจำหน่ายถ่านหินในประเทศไทยได้ลดลงจากการปิดเหมืองเมื่อปลายปีก่อนหน้า
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจถ่านหินทรงตัวอยู่ในระดับที่ร้อยละ 55 (เทียบกับร้อยละ 37 ในปีก่อนหน้าและร้อยละ 56 ในไตรมาสก่อนหน้า) ต้นทุนการผลิตถ่านหินของเหมืองในสาธารณรัฐอินโดนีเซียยังคงได้รับผลบวกจากต้นทุนดีเซลที่ปรับตัวลดลงร้อยละ 52 จากปีก่อนหน้าและร้อยละ 39 จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีราคาเฉลี่ยที่ 0.44 เหรียญสหรัฐฯต่อลิตรในไตรมาสนี้
ธุรกิจถ่านหินในสาธารณรัฐประชาชนจีนได้รายงานผลกำไรของบริษัทร่วมจำนวน 1,134 ล้านบาท ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด จากปีก่อนหน้าจากการที่บริษัทเข้าซื้อกิจการของ AACI เมื่อกลางปี 2551 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าผลกำไรจำนวนนี้ยังได้ปรับสูงขึ้นร้อยละ 90 เนื่องจากปริมาณผลิตถ่านหินที่เพิ่มขึ้นประกอบกับต้นทุนการผลิตที่ลดลงที่เหมือง AACI-Daning ซึ่งเป็นผลจากการหยุดเดินเครื่องจักรชั่วคราว ในส่วนงาน roadway development ในช่วงเดือนมกราคม ตามมาตรการควบคุมความปลอดภัย หลังจากนั้นเครื่องจักรในส่วนงานดังกล่าวได้กลับมาดำเนินงานปกติอีกครั้งซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปรับสูงขึ้นสู่ระดับปกติในไตรมาสถัดไป
ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้าโดยรวมมีผลการดำเนินงานที่ราบรื่น ประกอบด้วยกำไรจากบริษัทร่วมจากบริษัท BLCP จำนวน 923 ล้านบาท (รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 93 ล้านบาท) การรับรู้เงินปันผลรับจากบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งจำนวน 240 ล้านบาท และ กำไรสุทธิจากบริษัท BPIC ในสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวน 204 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทได้บันทึกกำไรจากอนุพันธ์ทางการเงินจำนวน 794 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นกำไรจากสัญญาซื้อขายถ่านหินล่วงหน้าที่รับรู้ในไตรมาสนี้ เทียบกับขาดทุนจากอนุพันธ์ทางการเงินที่บันทึกในปีก่อนหน้าและไตรมาสก่อนหน้าจำนวน 142 ล้านบาท และ 984 ล้านบาท ตามลำดับ
กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) รวมเท่ากับ 7,080 ล้านบาท ปรับสูงขึ้นร้อยละ 142 จากปีก่อนหน้า และร้อยละ 13 จากไตรมาสก่อนหน้า โดยแบ่งเป็น EBITDA จากธุรกิจถ่านหินจำนวน 5,623 ล้านบาท (หรือร้อยละ 79 ของ EBITDA รวม) และ EBITDA จากธุรกิจไฟฟ้าจำนวน 1,457 ล้านบาท