บมจ.ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 1/52 ว่าบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีผลกำไรสุทธิจำนวน 2,283 ล้านบาทหรือกำไรต่อหุ้น 1.12 บาท ลดลง 41% จากกำไรสุทธิจำนวน 3,874 ล้านบาทหรือกำไรต่อหุ้น 1.90 บาทของไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
เนื่องมาจากบริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายจำนวน 56,543 ล้านบาท ลดลง 39,771 ล้านบาท หรือลดลง 41.30% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยปรับตัวลดลงจากไตรมาส 4/51 โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูปในกลุ่ม Middle Distillates (น้ำมันอากาศยาน และ น้ำมันดีเซล) ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ขยายวงกว้างไปยังภูมิภาคต่างๆทั่วโลก
ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัวลงและปริมาณน้ำมันสำรองปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่ากลุ่มโอเปกพยายามควบคุมปริมาณการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อพยุงราคาน้ำมันดิบ ส่งผลให้กำไรจากการกลั่นลดลงมาอยู่ที่ 3.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เปรียบเทียบกับ 4.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลของไตรมาส 1/51
อย่างไรก็ดี บริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด (TPX) สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาของสารอะโรเมติกส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากอุปทานหดตัวจากการที่ผู้ผลิตลดกำลังการผลิต
ทำให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (Gross Integrated Margin)อยู่ที่ 6.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเปรียบเทียบกับ 5.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลของไตรมาส 1/51
บริษัทฯ และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 5,283 ล้านบาท ลดลง 522 ล้านบาทจากไตรมาส 1/51 บริษัทฯ และบริษัท ย่อยมีต้นทุนทางการเงินสำหรับในไตรมาสนี้จำนวน 644 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 255 ล้านบาทจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
บริษัทฯ ออกหุ้นกู้ระยะยาวจำนวน 12,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินลงทุน เงินทุนหมุนเวียนและชำระหนี้เงินกู้ตามกำหนดอีกทั้งเพิ่มความมั่นคงในการจัดหาเงินทุนระยะยาวและลดข้อจำกัดเรื่องวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตามจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจาก 35.08 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 4/51 มาปิดที่ 35.66 บาทต่อเหรียญสหรัฐณ สิ้นไตรมาส 1/52 ทำให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 405 ล้านบาท เมื่อรวมกับภาระภาษีเงินได้จำนวน 299 ล้านบาท