ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 184.22 จุด หลังยอดค้าปลีกดิ่งหนัก

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 14, 2009 06:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (13 พ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่ปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และจำนวนบ้านที่ถูกบังคับจำนอง (home foreclosure) ปรับตัวสูงขึ้น

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วง 184.22 จุด หรือ 2.18% แตะที่ 8,284.89 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 24.43 จุด หรือ 2.69% แตะที่ 883.92 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดลบ 51.73 จุด หรือ 3.01% แตะที่ 1,664.19 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.77 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2,745 ต่อ 337 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.37 พันล้านหุ้น

ควินซี ครอสบี นักวิเคราะห์จาก The Hartford เปิดเผยว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลงทันทีหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่ายอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ร่วงลง 0.4% ซึ่งเป็นสถิติที่ร่วงลงติดต่อกัน 2 เดือน และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่ายอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ของสหรัฐจะย่ำฐานทรงตัว

RealtyTrac Inc เปิดเผยว่า จำนวนบ้านถูกบังคับจำนองในสหรัฐพุ่งทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เดือนที่ 2 ติดต่อกันในเดือนเม.ย. หลังธนาคารหลายแห่งเร่งยึดบ้านจากเจ้าของบ้านที่ไม่สามารถผ่อนบ้านต่อไปได้ โดยในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมามีบ้านถึง 342,038 หลังที่ถูกบังคับจำนอง หรือ ถูกยึด ซึ่งถือเป็นตัวเลขรายเดือนที่มากที่สุดนับตั้งแต่ทางบริษัทเริ่มรายงานตัวเลขดังกล่าวในปี 2548 และแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่มีบ้านหลุดจำนองมากที่สุด

"สิ่งที่เกิดขึ้นคือผลพวงจากอัตราว่างงานที่พุ่งสูง ตราบใดที่ปัญหาว่างงานยังไม่ได้รับการแก้ไข จำนวนบ้านที่ถูกบังคับจำนองก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ" นิโคลาส เร็ตซินาส ผู้ศึกษาตลาดอสังหาริมทรัพย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าว

อัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นเป็นหนึ่งในปัจจัยลบที่สกัดกั้นช่วงขาขึ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์กมาโดยตลอด โดยอัตราว่างงานเดือนเม.ย.อยู่ที่ระดับ 8.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2526 ส่วนตัวเลขจ้างงานในเดือนเม.ย.ร่วงลง 539, 000 ตำแหน่ง ซึ่งทำสถิติลดลงน้อยที่สุดในรอบ 6 เดือน หลังจากที่เคยทรุดฮวบลง 699,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. และน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะดิ่งลง 610,000 ตำแหน่ง

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า อัตราว่างงานในปี 2554 จะพุ่งขึ้นแตะระดับเฉลี่ยที่ 8.5% หลังจากพุ่งขึ้นแตะระดับ 9.6% ในปี 2553 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยโจชัว ชาปิโร หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Maria Fiorini Ramirez Inc กล่าวว่า "ภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานสหรัฐจะยืดเยื้อยาวนานออกไปอีก ซึ่งยิ่งตลาดแรงงานตึงตัวมากเท่าใด ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคก็จะยิ่งหดตัวมากขึ้น และสถานการณ์เช่นนี้จะขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ"

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญๆของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ รวมถึงตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนเม.ย., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนเม.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.

ทั้งนี้ นักลงทุนขายหุ้นทั่วกระดาน ซึ่งหุ้นค้าปลีกร่วงลงหนักสุด โดยหุ้นวอล-มาร์ทซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของโลกร่วงลง 1.2% หุ้นทาร์เก็ตดิ่งลง 4.8% ส่วนดัชนี S&P หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง 3.3%

ส่วนหุ้นกลุ่มผู้ผลิตขนาดใหญ่ถูกเทขายเช่นกัน โดยหุ้น 3M ร่วง 4.4% และหุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ คอร์ป ปิดลบ 3.5% ขณะที่หุ้นแอปเปิลร่วงลง 4%

หุ้นเมิร์คปิดบวก 2.8% หุ้นไฟเซอร์ปิดบวก 2.3% อย่างไรก็ตาม หุ้นเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ปิดบวก 5.2% เนื่องจากแรงซื้อเก็งกำไร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ