บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง(RATCH) คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2/52 จะต่ำกว่าในไตรมาส 1/52 ที่มีกำไร 1.84 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีแผนปิดซ่อมโรงไฟฟ้า
ขณะนี้บริษัทยังคงเดินหน้าศึกษาการลงทุนในธุรกิจถ่านหินและโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในต่างประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซียและออสเตรเลีย ขณะที่แผนรีไฟแนนซ์น่าจะมีแผนงานชัดเจนภายในไตรมาส 3/52 ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีหนี้มูลค่าราว 2 หมื่นล้านบาท
นายนพพล มิลินทางกูร กรรมการผู้จัดการ RATCH กล่าวว่า ในไตรมาส 2/52 บริษัทจะปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมชุดที่ 1 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตลดลง รวมทั้งปริมาณการใช้ไฟปรับตัวลดลง ทำให้บริษัทต้องหยุดเครื่องบางส่วนตามแผนงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ประกอบกับ บริษัทมีภาระภาษีต่อเดือนกว่า 70 ล้านบาท ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 2/52 อาจจะออกมาไม่ดีนักเมื่อเทียบไตรมาส 1/52 แต่ผลงานทั้งปีก็ยังเชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสานสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) บริษัทยังคงสัดส่วนการถือหุ้น 40% แต่มีแผนที่จะขายให้กับผู้ถือหุ้นจีนตามแผนการเดิม แต่ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน และยังคงแผนการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2558
ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่จ.เพชรบูรณ์ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ ต.ค. 52 ขณะที่โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ที่สปป.ลาว คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในปี 56 ซึ่งเป็นไปตามแผนเช่นเดียวกัน
นายนพพล กล่าวถึงการลงทุนใหม่ว่า บริษัทยังคงมองการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับโรงไฟฟ้า ถ่านหิน รวมถึงแก๊ส ในประเทศ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มคุยกับบริษัท ทูบาอินโด แต่ยังไม่มีข้อสรุป รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่จะมีความร่วมมือระหว่างกลุ่มนักธุรกิจคนไทยที่จะไปลงทุนในทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ยังสนใจลงทุนในโรงไฟฟ้าขนาดเล็กทั้งในไทยและต่างประเทศด้วย
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะรีไฟแนนซ์หนี้ที่ปัจจุบันมีประมาณ 2 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ เพื่อลดภารดอกเบี้ยจ่าย เนื่องจากในเดือน ก.ค.บริษัทมีภาระดอกเบี้ย MLR-1.5% จากเดิมจ่าย MLR-2% ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาช่องทางเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน แต่ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะทั้งจำหนวนหรือแบ่งเป็นบางส่วน
"ไตรมาส 2 บริษัทก็กังวลว่า Net profit จะปรับตัวลดลงเพระเรามีการหยุดซ่อมบำรุงแต่เราก็ยังหวังว่าทั้งปี Net profit จะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเรื่องเชื้อเพลิง เรื่องการหยุดซ่อม และเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน นี่เป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ แต่การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าจะส่งผลดีกับบริษัท"นายนพพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทมีภาระการจ่ายภาษีกว่า 700 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นปีแรกที่หมดสิทธิประโยชน์ทางบีโอไอ แต่ก็เป็นเรื่องที่บริษัทประเมินไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว มั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อผู้ถือหุ้นในการจ่ายปันผล และยังยืนยันว่าอย่างน้อยจะรักษาการจ่ายปันผลไว้