CEI กำลังเจรจาพันธมิตรในปท.1-2 รายเล็งแตกไลน์ธุรกิจใหม่ คาดปีนี้ขาดทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 14, 2009 14:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.คอมพาสส์ อีสต์ อินดัสตรี้(ประเทศไทย)(CEI)แย้มอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรร่วมทุนรายใหม่ในประเทศอยู่ 1-2 รายที่ยื่นข้อเสนอแผนงานให้บริษัทเข้าร่วมทุน ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่ผลิตพัดลมเพดานแล้ว ในด้านผลประกอบการยอมรับปีนี้จะออกมาแย่หลังขายขาดทุนธุรกิจในจีน แต่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวได้ในปี 53

"กลุ่มดังกล่าวก็มีโครงการมาให้เราพิจารณาว่าจะร่วมทุนอะไร น่าจะเป็นธุรกิจอื่นไปเลยไม่ใช่ผลิตพัดลมเพดานแล้ว เพราะตอนนี้ทางผู้บริหารก็มองถึงลักษณะโฮลดิ้ง...ยังเจรจากันอยู่ระหว่างผู้บริหาร ตอนนี้ยังเปิดเผยไม่ได้ ถ้าได้ผลอย่างไรต้องแจ้งข่าว แต่คงไม่ถึงขั้นถูกเทคโอเวอร์ตามที่มีโบรกฯประเมิน" แหล่งข่าวจาก CEI เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"

อนึ่ง โบรกเกอร์บางรายประเมินว่า CEI เป็นหนึ่งในบริษัทที่เข้าข่ายจะถูกเทคโอเวอร์กิจการเพราะราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่ำเพียง 0.6 เท่า โดยมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 4 บาท แต่ราคาในกระดานอยู่ที่ 2.44 บาท และยังมีส่วนเกินมูลค่าหุ้นกว่า 200 ล้านบาท ทำให้มีความน่าสนใจมาก

แหล่งข่าว กล่าวว่า แนวทางการปรับแผนธุรกิจเพื่อกำหนดทิศทางของบริษัทในอนาคตนั้น คงต้องรอการเจรจากับพันธมิตรใหม่สำเร็จก่อน แต่ตอนนี้บริษัทก็ได้ปรับลดขนาด(downside)ลงมาให้อยู่ในระดับพอเพียง เพื่อลดค่าใช้จ่ายต่างๆ และ ลดพนักงาน ส่วนธุรกิจเคลือบผิวที่เคยศึกษาไว้ แนวโน้มก็คงจะพับแผนไปเลย

*แนวโน้มงวด Q3/52 ทรงตัว จาก Q2/52 ขาดทุนจากบ.ย่อย

แหล่งข่าว กล่าวต่อว่า สำหรับผลประกอบการในงวดไตรมาส 3/52 (ก.พ.-เม.ย.52)คาดว่าจะออกมาทรงตัว เนื่องจากทางผู้บริหารได้ปรับเรื่อง performance ด้วยการลดกำลังคน ทำให้ลดค่าใช้จ่ายลงไปมาก โดยปัจจุบันมีพนักเหลือเพียง 30 กว่าคน แต่หากในอนาคตมีรายได้ตัวอื่นเข้ามาเพิ่มเติม ก็คงต้องรับพนักงานเข้ามาใหม่ แต่ตอนนี้ต้องอยู่แบบพอเพียงให้รอดพ้นไปก่อน

"น่าจะประมาณไม่ขาดทุน เป็น forecast เพราะตัวเลขยังไม่ 100% เนื่องจากไตรมาส 2/52 เป็นผลขาดทุนจากบริษัทย่อยเยอะมาก ถ้าตัดขาดทุนตรงนั้นไปแล้ว ค่าใช้จ่ายก็ไม่เยอะมากแล้ว"แหล่งข่าว กล่าว

ทั้งนี้ งวดไตรมาส 2/52( พ.ย.51-ม.ค.52)ผลประกอบการพลิกเป็นขาดทุน เนื่องจากการขายบริษัทย่อยในจีนออกไปแบบขาดทุนอย่างหนัก สืบเนื่องมาจากการเกิดปัญหาเศรษฐกิจในประเทศจีน บริษัทมองแล้วว่าไม่คุ้มค่ากับการลงทุน จึงตัดสินใจขายบริษัทย่อยในจีนออกไปและได้เงินจากการขายแค่ 10 ล้านบาท

"บ.ย่อยในจีนมีผลขาดทุนอยู่แล้วจึงขายออก และยิ่งไตรมาส 2/52 ที่ผ่านมาขาดทุนเยอะมาก ขายออกดีที่สุด"แหล่งข่าว กล่าว

ดังนั้น ยอดขายหลักในขณะนี้มาจากตลาดในประเทศเป็นหลัก และมีรายได้จากธุรกิจให้เช่าโรงงาน ซึ่งค่อนข้างจะทำรายได้ให้ดีพอสมควร อย่างไรก็ตาม สัดส่วนยอดขายพัดลมเพดานในประเทศก็ยังสูงกว่ารายได้จากค่าเช่า เพียงแต่ค่าเช่าไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งในงวดไตรมาส 3/52 ยังยากที่จะคาดการณ์ยอดขาย แต่ก็เชื่อว่ายอดขายจะเล็กลงแน่ๆ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายก็ลดลงด้วย

แหล่งข่าว กล่าวว่า ส่วนผลประกอบการงวดทั้งปี 52(สิ้นสุด ก.ค.52) คงจะออกมาขาดทุนทั้งจากการขายบริษัทย่อย และยอดขายที่ลดลง ทำให้ปีนี้ก็ไม่น่าจะเห็นกำไรเหมือนปีที่แล้วที่มีกำไร 38.57 ล้านบาท โดยทั้งในแง่รายได้และกำไรในงวดปีนี้ก็จะลดลง

"รายได้ปี 52 ทั้งปี ลดลงแน่นอน เพราะยอดขายของบ.ย่อยหายไป ไม่มีรายได้จากบ.ย่อยเข้ามา เพราะสัดส่วนรายได้บ.ย่อย วอลุ่มสูงกว่า 50% ถ้าเทียบกับการขายของบริษัทในประเทศ"แหล่งข่าว กล่าว

ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบก็ปรับขึ้น เพราะเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก ขณะที่ราคาขายไม่สามารถปรับขึ้นมาได้ คือต้นทุนวัตถุดิบซื้อเป็นดอลลาร์ แต่ราคาขายเป็นบาท แต่ปรับราคาไม่ได้เพราะเศรษฐกิจแบบนี้ขายยาก

"ตอนนี้ยังไม่มีอะไรดีขึ้นเพราะโดนเรื่อง Exchange Rate ผลขาดทุนบริษัทย่อย ปีนี้โดยรวมก็น่าจะขาดทุน แต่มองปีหน้า(53)น่าจะดีขึ้น"แหล่งข่าว กล่าว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทไม่มีมีขาดทุนสะสมเพียงแต่เราขาดทุนในไตรมาส 2/52 กว่า 82 ล้านบาท และขาดทุนในไตรมาส 1/52 ประมาณ 13 ล้านบาท ทำให้ในงวด 6 เดือนแรกของปี 52 ขาดทุน 96 ล้านบาท และหากปี 53 พลิกเป็นกำไรจะจ่ายปันผลได้หรือไม่ ก็ต้องดูก่อนว่าหากกันสำรองแล้วจะเหลือเท่าไร แต่ขณะนี้บริษัทมีเงินสดในมือสูงถึง 300 ล้านบาท

"จริงๆ ขาดทุนสะสมไม่มีเพราะปีที่แล้วเราพลิกกลับเป็นกำไรและก็จ่ายปันผล แต่พอมาไตรมาส 2 ขาดทุน...ตอนนี้มีเงินสดในมือค่อนข้างเยอะประมาณ 300 ล้านบาท ไปลงทุนในตราสาร ตั๋วเงิน เงินฝาก ตอนนี้ต้องเน้นเรื่องเงินสด"แหล่งข่าว กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ