บมจ. เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (AP) เผยปรับเพิ่มงบลงทุนซื้อที่ดินปี 52 เป็น 4 พันล้านบาทจากเดิมที่ตั้งไว้เพียงแค่ 2 พันล้านบาท โดยแผนงานในช่วง พ.ค.52-พ.ค.53 จะเปิดโครงการใหม่จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวม 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเน้นโครงการประเภทแนวสูงหรือคอนโดมิเนียมเป็นหลัก
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AP คาดว่า กำไรสุทธิปี 52 จะต่ำกว่าปีก่อนที่มี 1.6 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในด้านการตลาดเพิ่มขึ้นจากการเปิดโครงการใหม่เพิ่ม แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะคาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 34-35% ก็ตาม
ขณะที่ยอดรับรู้รายได้ในปีนี้คาดเบื้องต้นจะรับรู้ที่ 8.5-9 พันล้านบาท ตามยอดจองที่จะโอนเข้ามาในปีนี้ จากยอดที่รอรับรู้รายได้ทั้งหมด 1.2 หมื่นล้านบาท โดยมาจากคอนโดมิเนียม 9.7 พันล้านบาท และโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ (แนวราบ) อยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท แต่มองว่าหากสภาพตลาดรวมจากนี้ไปดีขึ้นก็ยอดรับรู้รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านบาทได้
"ยอดรับรู้รายได้ เรามองไว้ว่า บวกลบ 10% จากปีก่อน ถ้าสถานการณ์เลวร้ายก็ได้ 8 พันกว่าล้าน แต่ถ้าสถานการณ์ที่ดีทีสุดก็คิดว่าจะได้หมื่นต้นๆ ตอนนี้เรายังคาดการณ์ลำบากมีความไม่แน่นอนสูง จากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมทั้งโลก สภาพรัฐบาลที่จะออกงบกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันไหม การเมืองรอดูจะดีขึ้นหรือไม่ เรื่องจะไม่มีสีแดงสีเหลืองตีกัน" นายอนุพงษ์ กล่าว
นอกจากนี้คาดว่ายอดขายทั้งปี ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทมากกว่าปีที่แล้วที่มี 8 พันล้านบาท
นายอนุพงษ์ คาดว่ารายได้และกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2/52 จะต่ำกว่าไตรมาสแรกทีมีรายได้ 2.8 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 481 ล้านบาท เนื่องจากยอดโอนลดลงจากไตรมาสก่อน โดยมียอดโอนจากโครงการคอนโดมิเนียมดิแอดเดรส ชิดลมบ้าง แต่ในไตรมาส 3 จะรับรู้มากที่สุด และไตรมาส 4 ก็รับรู้ต่อเนื่อง ทั้งนี้ในปี 52 จะรับรู้รายได้โครงการนี้ 80-90 ของมูลค่าโครงการ 3.7 พันล้านบาท
"แนวโน้มในไตรมาส 2 คงสู้ ไตรมาส 1 ไม่ได้ แต่ยอดจองจะดีกว่าไตรมาส 1 " นายอนุพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาแม้จะมีเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมจนเกิดความไม่สงบก็ตาม แต่ปรากฎว่า มีผู้มาเยี่ยมชมโครงการกลับมากขึ้นเป็น 400-500 ราย/สัปดาห์ และจนถึงขณะนี้ มียอดจองทั้งคอนโดมิเนียม และแนวราบ โดยแนวราบมียอดจองประมาณ 100 ล้านบาท/สัปดาห์
ซึ่งจุดนี้ทำให้บริษัทเริ่มมั่นใจตลาดมากขึ้นจึงได้ตัดสินใจเปิดโครงการใหม่ที่ได้ชะลอไปก่อนหน้านี้ มาเปิดโครงการใหม่ 12 แห่ง แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 7 โครงการมูลค่า 1.39 หมื่นล้านบาท, บ้านเดี่ยว 3 โครงการ 4.67 พันล้านบาท และโครงการทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการมูลค่า 2.7 พันล้านบาท
นายอนุพงษ์ กล่าวว่า จากนี้ไปบริษัทจะเปิดโครงการใหม่ทุกเดือนยาวไปถึง ไตรมาสแรกของปี 53 จากเดิมที่คาดไว้ตอนต้นปีว่าจะไม่เปิดโครงการใหม่ และเพิ่มงบซื้อที่ดินเป็น 4 พันล้านบาทจากเดิมตั้งไว้ 2 พันล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินรองรับโครงการใหม่ในปีหน้า โดยในไตรมาสแรกใช้ไปแล้ว 700 ล้านบาท ประเมินว่าครึ่งปีแรกใช้ 2 พันล้านบาทและครึ่งปีหลังใช้ 2 พันล้านบาท เพราะบริษัทมีเงินสดเพียงพอ จากยอดโอน
ปัจจุบันมีเงินสดในมือ 1 พันล้านบาท ส่วนหนี้สินมีจำนวน 6.5 พันล้านบาท โดยส่วนที่เป็นตราสารหนี้จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมิ.ย.นี้ จำนวน 375 ล้านบาท ขณะที่อัตราหนี้สินต่อทุน ลดลงเหลือ 0.72 เท่าจากสิ้นปี 51 ที่ 0.92 เท่า โดยบริษัทยังคงนโยบายD/Eไว้ที่ 1 เท่า
ทั้งนี้ ในปี 52 โครงสร้างรายได้มาจากโครงการคอนโดมิเนียม กับโครงการแนวราบ 40% และ 60% ตามลำดับ แต่ปีหน้าบริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียม และ โครงการแนวราบ เป็น 50%เท่ากัน เนื่องจากโครงการคอนโดมิเนียมมีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 35-40% สูงกว่าโครงการแนวราบ ซึ่งปีนี้คาดว่าลดลงเล็กน้อยมาที่ประมาณ 28% จาก 30% ในปีก่อน