บมจ.มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์(MILL)ปรับเงื่อนไขเจรจาพันธมิตรใหม่หลังสถานการณ์และเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลง คาดได้ข้อสรุปในไตรมาส 2/52 หรือไตรมาส 3/52 คาดเปิดทางเข้าถือไม่เกิน 20-25% เชื่อจะเข้ามาช่วยธุรกิจแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขณะที่ปีนี้ขอแค่ประคองตัวฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจทำรายได้และกำไรใกล้เคียงปีก่อน
นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ MILL เปิดเผยว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรรายใหม่อยู่ 3 ราย ไม่ได้ล้มเลิกไปจากที่ได้เจรจาเมื่อปลายปีก่อน แต่ล่าสุดได้มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการเจรจาหลังจากภาวะเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลง ราคาหุ้น MILL เปลี่ยนไป ขณะที่บริษัทก็มีความจำเป็นใช้เงินลดลง
"เราก็ยังคุยอยู่ทั้ง 3 ราย ซึ่งพันธมิตรที่เราต้องการจะเข้ามาช่วยทั้งด้านการเงินและเรื่องธุรกิจเหล็ก เราคิดว่าจะมีพันธมิตรใหม่สัก 2-3 ราย คิดว่าน่าจะรู้ผลในไตรมาส 2 หรือไม่ก็ไตรมา 3"นายสิทธิชัย กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ สัดส่วนการขายหุ้นให้กับพันธมิตรใหม่อาจจะไม่เกิน 20-25% โดยกลุ่มลีสวัสดิ์ตระกูลยังคงถือหุ้นใหญ่ ซึ่งปัจจุบันถืออยู่ประมาณ 40% และ ส่วนหนึ่งอาจจะเสนอขายเป็นหุ้นกู้แปลงสภาพ มูลค่าไม่เกิน 1,200 ล้านบาทให้กับพันธมิตรใหม่
"โดยส่วนตัว หุ้นที่ถืออยู่จะ dilute ก็ไม่ mind ขอให้บริษัทแข็งแรงก็พอใจแล้ว"นายสิทธิชัย กล่าว
อนึ่ง โครงสร้างผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 7 เม.ย.52 พบว่า นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ถือสัดส่วน 37.80% รองลงมาเป็น ไทยเอ็นดีวีอาร์ 4.15%
*คาดกำไรสุทธิ-รายได้ปี 52 ใกล้เคียงปี 51
กรรมการผู้จัดการ MILL คาดว่า ปี 52 กำไรสุทธิและรายได้จากการขายใกล้เคียงปีก่อนที่มีรายได้ 9.4 หมื่นล้านบาทและกำไรสุทธิ 357.45 ล้านบาท พร้อมตั้งทีมบริหารความเสี่ยงทุกด้าน หวังประคองตัวให้รอดพ้นวิกฤติเศรษฐกิจโลก รวมทั้งคาดว่าปีนี้ไม่ต้องตั้งสำรองสินค้าในสต็อกที่มีมูลค่าลดลงเหมือนปีก่อนตั้งไว้กว่า 400 ล้านบาท
"กำไรปีนี้คิดว่ารักษาไว้ใกล้เคียงปีก่อน เพราะต้นทุนลดลง แต่ราคาขายก็ลดลงด้วย แต่บริษัทต้องงบริหารความเสี่ยงให้ดีเท่านั้นเอง"นายสิทธิชัย กล่าว
ราคาเหล็กเมื่อต้นปี 52 ปรับตัวลดลงไปจากปีก่อนถึง 30% แต่ขณะนี้ราคาเหล็กปรับขึ้นมา 10-15% จึงคาดว่าแนวโน้มหลังจากนี้น่าจะดีขึ้น แม้ว่าความต้องการจะน้อยลงกว่าปีก่อน แต่ซัพพลายในตลาดโลกก็ลดลงเช่นกัน และอาจจะลดลงในสัดส่วนมากว่าดีมานด์ด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังมีความเป็นห่วงธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกต่อเนื่อง บริษัทจึงได้จัดตั้งทีมบริหารความเสี่ยงทุกด้านเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้แก่ การป้องกันความเสี่ยงสต็อกของสินค้าคงคลังไม่ให้เกิน 1 เดือนเป็นต้น แม้ปัจจุบันบริษัทจะไม่มีหนี้เงินกู้สถาบันการเงินก็ตาม
"โจทย์คือทำอย่างไรที่เราจะอยู่รอดให้ได้ในปีนี้ โดยตั้งบนเงื่อนไขเลวร้ายที่สุด คือตลาดไม่ดี ดีมานด์ไม่ดี เราก็ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอดในช่วง 1-2 ปีที่คาดไว้ตลาดจะไม่ดี โดยภายในปีนี้น่าจะดีขึ้นบ้างซึ่งปัจจุบันราคาเหล็กก็ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย...ปีนี้คิดว่าประคองตัว และปีนี้เป็นปีแห่งการประคองตัว ปรับตัวและป้องกันความเสี่ยงต่างๆ"นายสิทธิชัย กล่าว
ปีที่ผ่านมาราคาเหล็กได้ร่วงลงมาในช่วงไตรมาส 4 ส่งผลให้ราคาปรับตัวลงอย่างรุนแรง และส่งผลให้บริษัทต้องตั้งสำรองสินค้าคงคลังที่มูลค่าลลดง จำนวน 448.84 ล้านบาท
*คาดครึ่งปีหลังฟื้นตัว หลังจีนต้องการเพิ่ม-สายสีม่วงเกิด
นายสิทธิชัย คาดว่า ไตรมาสแรกนี้จะกลับมามีเป็นกำไรและเชื่อว่าไม่ต้องตั้งสำรองมูลค่าสินค้าคงเหลืออีก เพราะได้สำรองฯ ไปจำนวนมากเมื่อไตรมาส 4/51 และคิดว่าตั้งไว้หมดแล้ว ไม่น่าจะมีเพิ่มอีก ขณะเดียวกันยอดขายไม่ได้ลดลง และบริษัทมีกลไกบริหารความเสี่ยง รวมทั้งวางกลยุทธ์ทุกด้าน
ส่วนรายได้และกำไรในไตรมาส 2/52 คาดว่าน่าจะทรงตัวจากไตรมาส 1/52 เพราะราคาเหล็กน่าจะนิ่ง แต่คาดว่าครึ่งปีหลังผลประกอบการน่าจะดีกว่าครึ้งปีแรก เชื่อว่าตลาดน่าจะกลับมาฟื้นตัว ตามภาวะเศรษฐกิจโลก
"คิดว่าไตรมาสองน่าจะดีขึ้น แต่ไนไตรมาส 3 และ 4 น่าจะฟื้นตัว เพราะจีนมีความต้องการเพิ่ม ก็ถือเป็นปัจจัยหลัก ส่วนในไทยก็มั่นใจว่าครึ่งปีหลังก็เริ่มมีการใช้เหล็กเส้นมากขึ้น จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง"นายสิทธิชัย กล่าว
ปัจจุบัน MILL มีกำลังการผลิตเต็มที่ 5 แสนตันต่อปี ส่วนของบริษัท บี อาร์ พี สตีล ซึ่งเป็นบริษัทย่อย กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 3 แสนตันต่อปี เมื่อรวมกันจะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 8 แสนตันต่อปี