นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประจำไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2552 ว่า บริษัทจดทะเบียน 468 บริษัท จาก 496 บริษัท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์) มีกำไรสุทธิรวม 80,278 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 48
โดยมีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 325 บริษัท และขาดทุนสุทธิ 143 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 69 ต่อ 31 ในขณะที่ยอดขายรวมเท่ากับ 1,352,767 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 24
"ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไตรมาส 1 ปี 2552 รวม 80,278 ล้านบาท เป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากถึงร้อยละ 196 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ที่ขาดทุนสุทธิ 83,623 ล้านบาท เนื่องจากการบริหารต้นทุนขายที่มีประสิทธิภาพ" นางภัทรียากล่าว
สำหรับบริษัทที่มีมูลค่ากำไรสุทธิรวมสูงสุด 5 อันดับแรกคือ บมจ. การบินไทย (THAI) บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) และ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่ มีกำไรสุทธิ 32,355ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 39 ทั้งนี้ กลุ่มทรัพยากรมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2551 ที่มีขาดทุนสุทธิ 63,715 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 151
กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิ 23,311 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 18 ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจ การเงินมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิ 11,348 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 105
กลุ่มบริการ ประกอบด้วย หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดบริการเฉพาะกิจ หมวดพาณิชย์ และหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ มีกำไรสุทธิ 13,049 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26 ทั้งนี้ กลุ่มบริการมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิ 1,020 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1,179
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิ 12,625 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 28 ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ซึ่งมีผลการดำเนินงานขาดทุน 3,686 ล้านบาท กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างมีผลการดำเนินงานดีขึ้นคิดเป็นร้อยละ 443
กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 7,717 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 54 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2551 ที่มีขาดทุนสุทธิ 4,462 ล้านบาท จะมีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 253
กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิ 4,385 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2551 กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 293
กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วยหมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 390 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 79 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2551 กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมีกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 46
และ กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วยหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ ขาดทุนสุทธิ 13,261 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 195 ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2551 กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรมทุกหมวดมีผลการดำเนินงานดีขึ้นโดยมีขาดทุนสุทธิลดลงร้อยละ 50 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 26,615 ล้านบาท