บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค(PF) เตรียมเปิดโครงการใหม่ 8 โครงการภายในไตรมาส 2/52 มูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 2โครงการ และคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ
นายชายนิด โง้วศิริมณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PF คาดว่า ยอดขายในไตรมาส 2 เติบโตขึ้นมาที่ 2 พันล้านบาทจากไตรมาส 1 ที่มียอดขาย 1.6 พันล้านบาท เนื่องจากการเปิดโครงการใหม่ที่บริษัทจะเปิดทั้งหมด 8 โครงการ ซึ่งถือเป็นการเปิดโครงการเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายที่จะเปิด 4 โครงการ รวมถึงการรับรู้จาก Backlog 500-600 ล้านบาท จากทั้งหมด 2 พันล้านบาท
โครงการที่จะเปิดใหม่ดังกล่าวจะมีจำนวนยูนิตที่เล็กลงและจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างเหลือ 5 เดือนจากเดิม 6-8 เดือน ซึ่งจะทำให้การรับรู้ของบริษัทเร็วขึ้น
ทั้งนี้ นอกจากการปรับกลยุทธ์ดังกล่าวแล้ว บริษัทยังจำเป็นจะต้องรักษาสภาพคล่องและเงินสด ซึ่งการระดมทุนโดยการออกหุ้นกู้จำนวน 1 พันล้านบาทในช่วงไตรมาส 2 อายุ 3 ปี ดอกเบี้ย 6% จะเป็นการรองรับ Cash flow และเงินทุนหมุนเวียน ถึงแม้ว่าปัจจุบันบริษัทจะมีวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน 5 พันล้านบาท แต่การอออกหุ้นกู้จะทำให้ D/E ของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 0.8 เท่าได้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 1 เท่า
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทยังมีการรับรู้จากการขายที่ดินให้กับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มูลค่า 900 ล้านบาท แม้จะทำให้แลนด์แบงก์ของบริษัทลดลงเหลือไม่เกิน 2 พันล้านบาท แต่ก็เป็นการรองรับเงินสดเอาไว้
นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินจำนวน 100 ไร่ มูลค่า 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่ดินย่านแจ้งวัฒนะและรัตนาธิเบศร์ซึ่งคาดว่าสรุปเจรจาขายที่ดินเสร็จสิ้นครึ่งหลังปี 52 แต่จะไปรับรู้รายได้ในปีหน้าซึ่งถือว่าเป็นการขายที่ดินนอกเหนือจากที่บริษัทได้มีการขายที่ดินให้กับม.หอการค้าไปก่อนหน้านี้แล้วมูลค่า 900 ล้านบาท ซึ่งจากการขายที่ดินม.หอการค้าดังกล่าวจะทำให้ net margin ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 12% จากปีก่อนที่ 8-9%
นายชายนิด กล่าวต่อว่า บริษัทก็ยังคงมองหาที่ดินต่อเนื่องซึ่งในปีนี้วางแผนที่จะซื้อที่ดิน 1.5 พันล้านบาท ย่านสุขุมวิท 103 แถวอุดมสุข จะทำเป็นคอนโดฯเปิดปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า และย่านบางบัวทองที่ติดกับแนวรถไฟฟ้า เม็ดเงินที่ซื้อที่ดินได้ทยอยใช้ไปแล้วบางส่วน 500 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังมองหาการขยายตัวของธุรกิจในอนาคตเพิ่มเติมซึ่งขณะนี้บริษัทได้เจรจากับผู้ร่วมทุนทั้งบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และผู้ประกอบการกับประเทศญี่ปุ่นเพื่อซื้อโรงงานเพื่อรองรับในการเพิ่มเทคโนโลยีการก่อสร้าง ซึ่งการร่วมทุนดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเป็นการเทคโอเวอร์โรงงานเก่าหรือเป็นการซื้อที่ดินซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปครึ่งหลังของปีนี้ซึ่งก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทก็จะลดลงมาเหลือ 10-12% จาก 15%
สำหรับธุรกิจอสังหาฯในปีนี้ นายชายนิด คาดว่า คงจะมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อนที่เติบโต 10% ถึงแม้จากเศรษฐกิจจะส่งผลให้การเปิดโครงการในไตรมาส 1 ลดลง 40% แต่รายใหญ่สามารถครองตลาดมากขึ้น 60% และก็จะเห็นพฤติกรรมในการเปิดโครงการคล้ายกันคือมีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดฯ อยู่ที่ใครจะสามารถเจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ก่อนกัน ส่วนสภาพเศรษฐกิจประเมินว่าเศรษฐกิจจะติดลบต่อเนื่องไตรมาส 2 ปีนี้แต่จะฟื้นตัวเมื่อภาครัฐออกนโยบายกระตุ้นออกมา อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำภาษีที่ลดลงทำให้ธุรกิจฟื้นตัวได้