นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT)คาดว่า ในไตรมาส 2/51 บริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/51 เนื่องจากคาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน(stock gain)ประมาณ 200 ล้านเหรียญ หากราคาน้ำมันอยู่ในระดับนี้ต่อเนื่อง หรือมีกำไรจากสต็อกน้ำมันราว 10 เหรียญ/บาร์เรล เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นและเมื่อรวมปริมาณสำรองในกลุ่มที่คาดว่าจะมีปริมาณสำรองประมาณ 20 ล้านบาร์เรล ก็เชื่อว่าจะมีกำไรสูง
สำหรับปีนี้บริษัทคาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยทั้งเครือจะอยู่ที่ 3-5 เหรียญ/บาร์เรล และราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ระดับ 45-50 เหรียญ/บาร์เรล และปีนี้แนวโน้มราคาปิโตรเคมียังดีต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 3/51 แต่ไตรมาส 4/51 คงจะต้องติดตามสถานการณ์อีกครั้ง เนื่องจากบริษัทอาจจะได้รับผลกระทบจากปริมาณปิโตรเคมีในตลาดโลกซึ่งปรับเพิ่มสูงขึ้นจากกำลังผลิตใหม่
นายประเสริฐ กล่าวว่า งบลงทุนของบริษัทปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท เป็นการลงทุนในธุรกิจก๊าซ 58% ที่เหลือเป็นการ joint venture และโอกาสในการควบรวมกิจการเพิ่ม โดยใช้บริษัทลูก คือ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) และจะมีการลงทุนด้าน LNG บางส่วน สำหรับงบลงทุน 5 ปี(52-56) จะอยู่ที่ 2.29 แสนล้านบาท
ส่วนการลงทุนในธุรกิจเหมืองถ่านหิน นายประเสิรฐ กล่าวว่า ในปีนี้จะไม่มีการลงทุนซื้อเหมืองถ่านหินเพิ่ม ส่วนที่มีข่าวว่าปตท. จะเน้นลงทุนถ่านหินก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ส่วนการนำโรงกลั่นสตาร์รีไฟน์เนอริ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนที่จะนำเข้าจดทะเบียนในปีนี้ แม้ว่าภาวะตลาดจะเริ่มกลับมาดีขึ้น
ขณะที่การลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ปตท.ในฐานะบริษัทแม่ เห็นว่า การลงทุนควรเป็นในส่วนของ บมจ.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR) และบมจ.ไทยออยล์(TOP)เป็นผู้ลงทุน เพราะมองว่าน่าจะเพียงพอต่อปริมาณใช้ในประเทศตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด และไม่เห็นความจำเป็นว่า บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) จะต้องร่วมลงทุนด้วย เนื่องจากใช้เงินลงทุนมาก