นายสดาวุธ เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) หรือ บล.แอ๊ดคินซัน (ASL)เดิม คาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโต 10-12% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 554.64 ล้านบาท และกำไรสุทธิก็จะสูงกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากปริมาณการซื้อขาย(วอลุ่ม)ของตลาดหุ้นไทยเติบโตจากปีก่อน โดยคาดว่าวอลุ่มเฉลี่ยจากนี้ไปจะเกินกว่า 2 หมื่นล้านบาท/วัน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก
อีกทั้งในปีนี้บริษัทมีใบอนุญาตครอบคลุมทุกธุรกิจ นอกเหนือจากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ รวมถึงบริษัทได้ยุบรวมสาขาจากปีที่แล้วมีจำนวน 65 แห่งเหลือเพียง 33 แห่ง ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้มาก
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ โดยตั้งเป้าปีนี้จะมีสัดส่วนราว 5% จากเดิมที่ไม่เคยมี ขณะที่ลูกค้ารายย่อยจะมีสัดส่วนกว่า 90% โดยมีลูกค้าจำนวน 3 หมื่นบัญชี ซึ่งเป็นลูกค้าที่มีบัญชีเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ 1 หมื่นบัญชี และคาดว่าจะมีลูกค้าสถาบันทั้งในและต่างประเทศเพิ่มสัดสว่นเป็น 10-15% ส่วนรายย่อยอยู่ประมาณกว่า 80%
"ปีนี้เชื่อว่ากำไรเราน่าจะดีขึ้น หลังจากที่ 2 ปีที่แล้วภาวะตลาดซบเซา แต่ปีนี้หลังจากที่เรามีไลเซ่นส์ cover ธุรกิจเราก็จะเดินหน้า"นายสดาวุธ กล่าว
ส่วนในไตรมาส 2/52 คาดว่ารายได้และกำไรจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/52 เนื่องจากตลาดหุ้นเพิ่งจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
นายสดาวุธ กล่าวว่า ขณะนี้ส่วนแบ่งตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% จากปีก่อนอยู่ที่ 2.2% และคาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายปีนี้ที่ระดับ 3% และมีโอกาสที่มาร์เก็ตแชร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 5% ได้ หากปริมาณการซื้อขายยังสูงเกิน 2 หมื่นล้านบาท/วัน ซึ่งในแผน 3-5 ปี บริษัทตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ไม่ต่ำกว่า 5%
นับจากปีนี้ที่บริษัทมีธุรกิจครบวงจร ได้แก่ ธุรกิจค้าหลักทรัพย์, ธุรกิจนายหน้าค้าตราสารอนุพันธ์และทองคำล่วงหน้า มีมาร์เก็ตแชร์ราว 2-3% และตั้งเป้าไว้ในระดับ 10% ในปีนี้, ธุรกิจวานิชธนกิจ มีดีลพร้อมเสนอขาย IPO ประมาณ 4-5 บริษัททั้งเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ตลาดเอ็ม เอ ไอ , ธุรกิจที่ปรึกษาการเงิน ซึ่งขณะนี้มี 6-7 บริษัท และ ธุรกิจยืมหลักทรัพย์ (SBL)
ฉะนั้น ในปี 52 โครงสร้างรายได้หลักจะมาจากนายหน้าค้าหลักทรัพย์ 60-70% รายได้จากวาณิชธนกิจและที่ปรึกษา 10-15% รายได้จากค้าตราสารอนุพันธ์ราว 10% ซึ่งจะหลากหลายจากเดิมมีแต่รายได้จากนายหน้าค้าหลักทรัพย์
พร้อมทั้งเพิ่มฐานลูกค้าต่างประเทศ โดยบริษัทได้เจรจาบริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติเพื่อเป็นพันธมิตรร่วมกันในการหาลูกค้าส่งออเดอร์ซื้อขายระหว่างกัน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปไตรมาส 3/52 รวมถึงในอนาคตขยายฐานลูกค้าในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น วัยเริ่มทำงาน
"ได้คุยกับ 3-4 ราย ก็คิดว่าไตรมาส 3 น่าจะได้ข้อสรุป และเขาจะส่งออเดอร์ลูกค้าให้เรา เราก็ส่งให้เขา...เราเตรียมความพร้อมทุกด้านให้มีความเป็นสากล รองรับการเปิดเสรีฯ รายได้เราก็จะเติบโต เราเชื่อว่าเราจะโตจากตัวเราเองได้ และโตจาการซื้อกิจการเข้ามาเสริม" นายสดาวุธ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทก็ยังดำเนินการเจรจากับบริษัทหลักทรัพย์อื่นที่มีมาร์เก็ตแชร์ต่ำกว่า 1% เพื่อเข้าซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการ เพื่อให้บริษัทแข็งแกร่งมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะได้ข้อยุติเมื่อไร
ส่วนทุนจดทะเบียนที่มี 2.3 พันล้านบาทในขณะนี้ถอว่าเพียงพอต่อการรองรับการขยายงานของธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินสด คงจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทุนจดทะเบียน ส่วนผลขาดทุนสะสมที่ยังเหลืออยู่ 332.32 ล้านบาท(สิ้นปี 51) บริษัทจะพยายามหาทางแก้ไขเพื่อให้จ่ายเงินปันผลได้
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมความพร้อมด้านไอที โดยลงทุนประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อรองรับการซื้อขายระบบออนไลน์ ขณะที่เตรียมรับเจ้าหน้าที่การตลาดเพิ่มอีกประมาณ 100 คนจากที่มีอยู่ประมาณ 300 คน
บล.คันทรี่กรุ๊ป(CGS)ได้เปลี่ยนชื่อจากเดิม บล.แอ๊คคินซัน(ASL)โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปลี่ยนแปลงชื่อและชื่อย่อหลักทรัพย์ของบริษัทในระบบการซื้อขายในวันนี้ เป็นวันแรก