นายโกวิท รุ่งวัฒนโสภณ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ราชธานี ลิสซิ่ง(THANI) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทฯกำลังเตรียมแผนเพิ่มทุนด้วยการออกหุ้นใหม่เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม โดยขณะนี้รอการอนุมัติจากธนาคารนครหลวงไทย(SCIB)ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ คาดว่ารายละเอียดของการเพิ่มทุนจะสรุปได้ภายในช่วงปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 เนื่องจากบริษัทฯจะต้องทำการเพิ่มทุนให้แล้วเสร็จภายในปีนี้(2552)
บริษัทฯมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เงินจากการเพิ่มทุนเพื่อขยายสาขาละการขยายสินเชื่อ โดยปีนี้จะเป็นปีแห่งการลงทุนของบริษัทฯ โดยจะลงทุนในการขยายสาขาเพิ่มขึ้นประมาณ 10 สาขาในปีนี้ ซึ่งนับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว(2551)จนถึงตอนนี้ก็ได้มีการทยอยการเปิดสาขาใหม่ไปแล้ว 4 สาขา งบลงทุนในการเปิดสาขาแต่ละแห่งจะใช้ประมาณ 1 ล้านบาท
กรรมการผู้จัดการ THANI กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อใหม่ในปีนี้ที่ประมาณ 4,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 ที่มีอยู่ 3,600 ล้านบาท โดยยังคงเน้นการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อรถยนต์เก่า 65% และสินเชื่อรถยนต์ใหม่ที่ 35%
ล่าสุดบริษัทฯยังได้ขออนุมัติวงเงินกู้จาก SCIB ไม่เกิน 3,500 ล้านบาท อัตราดอกบี้ย MLR-1% กว่า ซึ่งขณะนี้ได้รับการอนุมัติจากธนาคารแล้ว รอเพียงการเซ็นสัญญาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งการขอวงเงินกู้ดังกล่าวก็จะใช้ในการขยายสินเชื่อ โดยบริษัทฯจะไม่นำออกมาใช้ทีเดียวทั้งก้อน แต่จะเป็นลักษณะของการทยอยนำออกมาใช้
นายโกวิท กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ากำไรไว้ที่ 90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีกำไร 71.89 ล้านบาท โดยบริษัทฯตั้งเป้าไม่สูงมาก เนื่องจากปีนี้จะเป็นปีแห่งการลงทุนในการขยายสาขาเพิ่ม เพื่อเตรียมขยายสินเชื่อในปีหน้า
"ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยในการปล่อยสินเชื่อสำหรับรถยนต์เก่าจะอยู่ที่ 4% และอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อรถยนต์ใหม่จะอยู่ที่ 3% ซึ่งบริษัทฯก็มีส่วนต่างกำไรกว่า 4%(เทียบต้นทุนกับปล่อยกู้) ก็ถือว่าพอใจแล้ว
ส่วนตัวเลขหนี้สงสัยจะสูญก็อยู่ที่ 0.7% ซึ่งบริษัทฯก็ได้มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญอยู่ที่ 5% ต่อไปในอนาคตบริษัทฯคงจะต้องเปลี่ยนแปลงการตั้งสำรองฯไปใช้ระบบเดียวกับแบงก์"กรรมการผู้จัดการ THANI กล่าว
นายโกวิท กล่าวอีกว่า ตามแผนการที่ได้วางไว้ทาง SCIB จะขยายสัดส่วนการถือหุ้น THANI เพิ่มขึ้นให้เกิน 50% จากปัจจุบันที่ถืออยู่ในระดับ 39.76% ส่วนจะเกิดขึ้นเมื่อใดนั้น ไม่อาจทราบได้ และก็ต้องขึ้นอยู่กับคำแนะนำของทางบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ SCIB ด้วย