นางสาวชมเดือน ศตวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทย เอ็น ดี ที(TNDT)กล่าวว่า แนวโน้มรายได้ในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาในอัตราไม่ต่ำกว่า 20% หรือสนับสนุนให้รายได้ของบริษัททะลุ 300 ล้านบาท จากปี 51 ที่ทำได้ 249.33 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากบริษัทฯ มีงานที่รอรับรู้เป็นรายได้(Backlog)ในมือแล้วถึง 200 ล้านบาท ยังมีงานที่จะเข้าประมูลใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งคาดว่าจะเห็นได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/52 เป็นต้นไป
"เราเชื่อว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% มาที่ 300 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้แล้ว 200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ ขณะเดียวกันยังมีงานที่จะยื่นประมูลเพิ่มเติมเพื่อดัน Backlog ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในต่างประเทศได้ร่วมมือกับ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP)และบริษัท เชฟรอน ในการเข้าตรวจสอบคุณภาพแหล่งปิโตรเลียมในประเทศกัมพูชา ซึ่งจะทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง"นางชมเดือน กล่าว
ด้านกำไรสุทธิเชื่อว่าจะเติบโตได้มากกว่าปี เนื่องจากการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี BOI เป็นระยะเวลา 8 ปี ตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา จะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทลดลง เพราะที่ผ่านมาธุรกิจเสียภาษี 19 ล้านบาทต่อปี
ในปีนี้นอกเหนือจากการขยายงานด้านธุรกิจการตรวจสอบและทดสอบทางวิศวกรรมความปลอดภัย ด้วยกระบวนการทดสอบโดยไม่ทำลาย (Nondestructive Testing : NDT) ในกลุ่มลูกค้าเดิมซึ่งรับงานกันมาต่อเนื่องแล้ว เรายังขยายงานออกสู่ต่างประเทศ ซึ่งในช่วงแรกของการออกสู่ตลาดต่างประเทศ คงต้องร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในตลาดเป้าหมาย และโดยขณะนี้ได้มีการเจรจากับพันธมิตรแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
"ปีนี้บริษัทยังมีแผนจะขยายธุรกิจการตรวจสอบและทดสอบทางวิศวกรรมความปลอดภัยด้วยกระบวนการทดสอบโดยไม่ทำลายในตลาดต่างประเทศ และการขยายงานด้านการตรวจด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งในงานตรวจสอบดังกล่าว บริษัทจะเข้ามาประมูลงานเพิ่มขึ้น คาดว่าจะทำให้สัดส่วนงานตรวจสอบฯ เพิ่มขึ้นเป็น 5% จาก 2% ของปริมาณงานทั้งหมดเนปีที่แล้ว"นางชมเดือน กล่าว
ส่วนการขยายงานด้าน Advanced Technology จะเริ่มเข้าร่วมประมูลงานเพิ่มมากขึ้น จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่สัดส่วน 2% ของปริมาณงานทั้งหมด คาดว่าในปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 5% เนื่องจากลูกค้าหลายรายได้เริ่มเห็นความคุ้มค่าของการใช้บริการจากผู้ประกอบการในประเทศเมื่อเทียบกับเม็ดเงินและเวลาในการทำงาน ในขณะที่คุณภาพงานไม่แตกต่างจากการใช้บริการจากผู้ประกอบการในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับการขยายธุรกิจดังกล่าว